วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Preserved Pineapple

สับปะรดกวน

   
     ด้วยที่ติ๊กอยากจะทำพายสับปะรด ก็เลยจะทำสับปะรดกวนเองเสียหน่อย เพราะไม่ได้ทำยาก แต่จะเสียเวลามากกว่า ติ๊กใช้เวลาพอควรกว่าจะกวนเสร็จ แอบเหมื่อยแขนเล็กน้อย

สูตรสับปะรดกวน
  1. สับปะรด 1.5 กิโล
  2. น้ำตาล 100 กรัม (สูตรหวานน้อย)
  3. น้ำเชื่อมข้าวโพด 1/4 ถ้วย
  4. เกลือ 1 ช้อนชา
     ติ๊กเลือกใช้สับปะรดสวนผึ้ง ซื้อมาฉ่ำหวานครึ่งนึง และแบบเปรี้ยวครึ่งนึง นำมาปั่นเกือบละเอียด ไม่ถึงกับเนียนแบบสมูทตี้ รสชาติสับปะรดจะออกหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ทำให้ติ๊กใช้น้ำตาลไม่มาก เพราะติ๊กไม่ชอบทานหวาน

วิธีทำสับปะรดกวน
  1. นำสับปะรดที่ปั่นแล้ว ใส่เกลือ และน้ำตาลไปเคี่ยวด้วยไฟปานกลางให้น้ำงวดเกือบแห้ง ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานอยู่นะคะ เกือบชั่วโมงได้
  2. เมื่อน้ำเริ่มแห้ง ให้ใส่น้ำเชื่อมลงไป แล้วก็กวนต่อไปเรื่อยๆ จนน้ำแห้งและสับปะรดเหนียวหนึบจับตัวเป็นก้อน
  3. นำสับปะรดกวนที่ได้ใส่ภาชนะปิดด้วยแร๊พให้มิดชิด รอจนเย็นสนิท แล้วนำไปพักในตู้เย็นจนกว่าจะนำมาใช้
     สับปะรดกวนจะออกมาหน้าตาประมาณนี้ค่ะ แอบจิ๊กทานเล่นไป ทานเพลินๆ อร่อยดี ชักไม่อยากจะเอาไปทำพายเสียแล้วสิ แต่วันนี้กวนสับปะรดแล้วเหมื่อย ขอพักก่อนนะคะ ไว้ค่อยทำพายต่อวันหลัง

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Hokkaido Chiffon Cake

ฮอกไกโดชิฟฟ่อนเค้ก     

     ด้วยที่ติ๊กอยากจะลองทำชิฟฟ่อนเค้กอบในถ้วยคัพเค้ก ติ๊กก็มองหาสูตรต่างๆ แล้วไปเตะตาสูตรฮอกไกโดเค้กของ nasilemaklover จะบอกว่าบล็อกเกอร์ท่านนี้ทำขนมได้น่าทานหลายอย่างมาก และมีเมนูมากมายที่ติ๊กอยากจะลองทำตาม แต่ก็นะคะเวลามันน้อยเหลือเกิน ขนมอื่นๆในลิสต์ที่ตั้งใจอยากทำ ก็ไม่ได้ทำเสียที พอไปเจอว่าอยากทำอันนั้นก็เกิดร้อนวิชาลงมือทำเลย ทำให้ไม่ได้ทำขนมตามแผนที่ตนเองกำหนดไว้สักเท่าไร ออกนอกลู่ตลอดค่ะ

     มาว่าด้วยฮอกไกโดเค้ก ชื่อออกจากญี่ปุ่นเสียทีเดียว แต่ทว่าขนมนี้ไม่ใช่ขนมดังเดิมญี่ปุ่นแต่อย่างใดนะคะ ก็เป็นเค้กชิฟฟ่อนทั่วๆไป ที่เขาขนานนามชื่อนี้กัน เพราะใช้วัตถุดิบนมจากฮอกไกโดนำมาทำขนม นมฮอกไกโดเป็นนมที่ขึ้นชื่อมากนะคะ รสชาติของนมนั้นหอมมันมาก อร่อยค่ะ แต่แพงมากทีเดียวเมื่อเทียบกับนมบ้านเรา เดือนไหนติ๊กมีงบมากหน่อย ก็ควักกระเป๋ากัดฟันซื้อมาเชยชมบ้าง แต่ให้ดื่มเป็นประจำคงจะไม่ไหว...

     กลับมาเข้าเรื่องขนมวันนี้กันดีกว่า ติ๊กจะทำเค้กชิฟฟ่อนในคัพเค้กสอดไส้คัสตาร์ด โดยใช้วัตถุดิบจากนมฮอกไกโด เรามาดูสูตรกันเลยค่ะ


     เริ่มแรกทำไส้คัสตาร์ดเตรียมไว้ก่อนนะคะ ติ๊กชอบทำคัสตาร์ดเก็บไว้ข้ามคืนแล้วนำมาใช้ เพราะรสชาติจะดีกว่าตอนทำเสร็จใหม่ๆ เยอะเลยค่ะ

ไส้ครีมคัสตาร์ด (Pastry Cream)
*สูตรหวานน้อย
  1. นม 250 มิลลิลิตร (ติ๊กใช้นมฮอกไกโด แต่ไม่จำเป็นหรอกนะคะ ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ค่ะตามที่เราสะดวก)
  2. ไข่แดง 2 ฟอง (เบอร์ 2)
  3. น้ำตาล 30 กรัม (ติ๊กใช้น้ำตาลอ้อยสีทองเม็ดใหญ่)
  4. นมผง 7 กรัม (เป็นหัวนมผง ถ้าใครใช้หางนมก็เพิ่มปริมาณได้ค่ะ ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใส่ก็ได้นะคะ)
  5. เนยเค็ม 10 กรัม
  6. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา

วิธีทำไส้คัสตาร์ด
  1. ตีไข่แดงกับน้ำตาลให้ขึ้นฟูเป็นครีม การตีไข่ให้ฟูในการทำคัสตาร์ดจะช่วยให้ครีมมีความเบานุ่มนวล
  2. จากนั้นร่อนแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด ลงในชามไข่แดง แล้วก็คนให้เข้ากันดีค่ะ
  3. เตรียมนมสดอุ่นจัด ประมาณ 60-65 องศานะคะ ติ๊กใช้วิธีนำนมไปเวฟไฟแรงสุดประมาณ 45 วินาที ก็ร้อนพอดีตามที่ต้องการค่ะ
  4. ผสมนมผงลงในนม คนให้ละลาย แล้วเทลงในชามไข่แดง โดยให้เทลงไปเล็กน้อยก่อนนะคะ แล้วรีบคนให้เข้ากัน จากนั้นค่อยทะยอยเทนมที่เหลือใส่ลงไปจนหมด
  5. จากนั้นนำมากรองด้วยกระชอนถี่ใส่หม้อเพื่อให้เนื้อเนียน 
  6. นำหม้อขึ้นตั้งเตา ใช้ไฟอ่อนในการกวนไส้คัสตาร์ด ให้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าส่วนผสมจะมีความข้น เห็นเป็นรอยตระกร้ออย่างชัดเจน แล้วก็ปิดเตาค่ะ
  7. ใส่เนยเค็มลงไปในครีมคัสตาร์ดคนให้เข้ากัน
  8. ใส่กลิ่นวนิลลาลงไปเพื่อดับกลิ่นคาวไข่ และให้คัสตาร์ดมีความหอม ผสมคนให้เข้ากันดี
  9. จากนั้นนำแร็พมาคลุมคัสตาร์ดให้มิดชิดไม่ให้สัมผัสอากาศ พักไว้จนเย็นตัว แล้วนำเข้าไปเก็บในตู้เย็น จนกว่าจะนำมาใช้ค่ะ

     เนื้อคัสตาร์ดที่ได้ เมื่อพักไว้เย็นสนิทหรือเก็บข้ามคืน จะไม่แข็งนะคะ เนื้อจะมีความนุ่มเบาแบบครีม เอาล่ะคะ ก็พักคัสตาร์ดไว้ก่อนนะคะ มาทำเค้กกันต่อ

สูตรชิฟฟ่อนคัพเค้ก: 9 ถ้วย
*สูตรหวานน้อย

ส่วนที่ 1
  1. แป้งเค้ก 85 กรัม
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. ไข่แดง 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  5. น้ำตาลทราย 20 กรัม (ใช้น้ำตาลป่นแทนได้นะคะ)
  6. นมสด 65 กรัม (ติ๊กใช้นมฮอกไกโด แต่ไม่จำเป็นสามารถใช้ยี่ห้ออื่นแทนได้ค่ะ)
  7. น้ำมัน 45 กรัม (ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวัน)
  8. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา

ส่วนที่ 2
  1. ไข่ขาว 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 70 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
  1. วอร์มเตาอบไฟล่าง 170 องศา เนื่องจากเตาอบติ๊กมีปัญหาเรื่องไฟที่แรงกว่าปกติ และไฟบนแรงมาก ทำให้ติ๊กต้องปรับการใช้เตาอบ แต่ถ้าเตาบ้านใครไฟปกติดี ก็ใช้โหมดไฟบนล่างได้เลย
  2. ตีไข่แดงกับน้้ำตาลให้ขึ้นฟูเป็นครีมเล็กน้อย แล้วใส่นม น้ำมัน และวนิลลา ลงไปผสมให้เข้ากันดี
  3. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ ลงในชามผสมไข่  แล้วตะล่อมให้เข้ากัน จนเราไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง แล้วพักไว้ก่อนค่ะ
  4. มาทำเมอแรงค์ต่อ ตีไข่ขาวด้วยสปีด 2 หรือ 3 ก็ได้นะคะ ตีให้ขึ้นเป็นฟองหยาบ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป แล้วตีต่อจนไข่ขาวขึ้นเป็นฟองละเอียด แล้วค่อยทะยอยแบ่งใส่น้ำตาลลงไป ตีไปเรื่อยๆ จนไข่มีลักษณะเป็นครีมเงา มีความเนียนละเอียดเห็นเป็นรอยตะกร้อ ให้เราตีจนถึงจุด Firm peak ค่ะ
  5. นำเมอแรงค์ที่ได้ไปผสมกับแป้ง แบ่งผสมประมาณ 3 ส่วน ตะล่อมให้เข้ากันดี เมื่อเข้ากันดีแล้ว ให้ตะล่อมต่อ 10-15 ครั้ง อย่างช้าๆ เบาๆ ตัดฟองอากาศใหญ่ และให้เนื้อเนียนขึ้นค่ะ
  6. กระแทกโถผสม 2-3 ครั้งไล่ฟองอากาศ
  7. นำแบทเทอร์หยอดลงพิมพ์ วันนี้ติ๊กใช้คัพเค้กแบบสี่เหลี่ยม ติ๊กใส่แบทเทอร์ลงไปประมาณ 50 กรัม ไม่เกินนี้ ไม่นับรวมน้ำหนักพิมพ์นะคะ หรือถ้าไม่ชั่งก็ใส่แบทเทอร์ให้มาถึงเส้นขอบของพิมพ์ตามคลิปเลยค่ะ
  8. เมื่อหยอดแบทเทอร์เสร็จแล้ว กระแทกพิมพ์ 2-3 ครั้ง ไล่ฟองอากาศอีกที แล้วนำเข้าอบ ไม่ควรวางถ้วยคัพเค้กติดกันนะคะ เพราะความร้อนอาจจะเข้าไม่ถึงด้านข้างเค้ก ถ้าหากข้างเค้กอบไม่แห้งดีมีความชื้นที่ขอบเค้ก เค้กจะทรุดตัวลง ไม่เกาะพิมพ์ค่ะ
  9. นำเค้กเข้าอบไฟล่าง 170 องศา 15 นาที แล้วค่อยเปิดไฟบนล่างอบต่ออีก 15 นาทีค่ะ การใช้ไฟอบ ขึ้นอยู่กับเตาแต่ละบ้านนะคะ ปรับใช้ตามความเหมาะสม
  10. อบเสร็จแล้วค่ะ กระแทกพิมพ์ 1-2 ครั้ง แล้วคว่ำเค้กลงบนตะแกรงเลยค่ะ จะช่วยให้เค้กยึดขอบได้ดีขึ้น แล้วก็พักทิ้งเค้กไว้จนเย็นสนิทเลยคะ แล้วค่อยหงายขึ้นนำมาใช้งาน

     เอาละค่ะ เมื่อเค้กเย็นตัวแล้ว ก็ให้นำครีมคัสตาร์ดมาบีบใส่ตรงกลางเค้ก ติ๊กใช้ถุงบีบช่วยนะคะ ส่วนหัวบีบใช้อะไรก็ได้ค่ะ อย่าให้รูเล็กไปก็ใช้ได้ คัสตาร์ดก่อนนำมาใช้งาน ควรคนให้เนื้อเนียนก่อนนำมาใช้

     เค้กของติ๊กวันนี้ จะยุบตรงกลางหน่อยนะคะ อันที่จริงต้องบอกว่าติ๊กอบชิฟฟ่อนใส่พิมพ์นี้ ทดลองอบไป 3 รอบ ตรงกลางเค้กจะบุ๋มตลอดทุกครั้ง ทำให้กลมๆไม่ได้เสียที ไม่รู้ว่าเป็นที่เตาเราหรืออะไรกัน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ ขอแค่อย่าให้เค้กร่อนหดจมลงไปในพิมพ์เป็นใช้ได้ค่ะ เพราะถ้าจมจะแต่งเค้กไม่สวยเท่าไร


   
     ในการแต่งหน้าเค้ก ติ๊กไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนะคะ ทำแบบง่ายๆ โดยการตักวิปครีมมาโปะบนเค้กประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ แล้วก็วางสตรอเบอรี่สด ซึ่งติ๊กจะหั่นครึ่งไว้แล้ว แล้วก็โรยน้ำตาลไอซิ่งให้ทั่วค่ะ เพียงเท่านี้ เค้กก็ดูดีขึ้นแล้ว และแน่นอนว่าความอร่อยจัดเต็มจ้า



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking





วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

Zebra Sponge Cake


     สวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้ติ๊กจะมาทำเค้กที่ต่อยอดจากสูตร Tangmian Method จากคราวก่อนที่ลงสูตรนี้ไป แล้วเป็นที่นิยมบนช่อง Youtube ติ๊กมากเลย

     Tangmian method เป็นเทคนิคการทำเค้ก โดยทำให้แป้งสุกก่อนนั่นเอง โดยนำแป้งไปผัดกับเนยละลายที่ร้อนจัด จนแป้งนุ่มเนียน วิธีการนี้จะทำให้เค้กมีความหอมของกลิ่นเนย และเนื้อเค้กมีความนุ่มเนียนมาก เนื่องจากการผัดแป้งกับเนยจะไม่ทำให้เกิดกลูเตนนั่นเอง เพราะแป้งถูกเคลือบด้วยไขมัน จึงทำให้เค้กสูตรนี้มีความนุ่มมากทีเดียว (หลักการที่เขียนมานั้น เอามาจากบล๊อกเกอร์ KitchenTigress) 

     ติ๊กก็เลยนำมาต่อยอด ทำเป็น Zebra Cake ซึ่งก็เป็นเค้กมาเบิ้ลแหละค่ะ แต่จะทำเป็นลายม้าลาย (Zebra) แทนค่ะ เลยทำให้เรียกเค้กนี้ว่า Zebra Cake โดยที่เนื้อเค้กวันนี้จะทำแป้งสุกก่อน (Tangmian Method) และเป็นสูตรแยกไข่ขาว หลายท่านอาจจะงงว่าทำไมติ๊กถึงเรียกชื่อเค้กว่า Sponge Cake ใช่มั้ยค่ะ (เพราะสูตรก่อนมีคำถามเข้ามาตรึม ว่าทำไมติ๊กเรียกสปันจ์เค้ก ^^")

     ติ๊กได้ติดตามบล๊อกเกอร์ต่างประเทศหลายท่าน เขามักจะนิยมเรียกเค้กที่ใช้ไข่ในการขึ้นฟูเป็นหลัก และมีส่วนผสมของเนย เรียกเป็นสปันจ์เค้ก ไม่ว่าจะตีไข่ทั้งฟอง หรือแยกไข่ขาวก็ตาม นิยมเรียกแบบนี้เกือบหมด เพราะเนื้อเค้กที่ได้จะไม่เหมือนกับชิฟฟ่อนแท้ๆ ที่เป็นสูตรน้ำมันนั่นเอง ทำให้พวกเขานิยมเรียกสปันจ์เค้กกัน เว้นแต่บางสูตรที่ใช้เนยน้อยมากๆ ติ๊กก็เห็นบางท่านเรียกเป็นชิฟฟ่อนเค้ก แต่สำหรับบ้านเรา เราจะมองว่าเค้กที่แยกไข่ขาวออกมา โดยไขมันจะใช้เนยละลายหรือน้ำมันก็ตาม จะถูกเรียกว่าเป็นชิฟฟ่อนเค้กทั้งหมด ใช่ค่ะติ๊กเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพิ่งมาเปลี่ยนความคิดหลังจากได้อ่านสูตรต่างๆ มากขึ้น และก็คิดว่ามันก็มีเหตุและผลอยู่นะคะ ดังนั้นติ๊กคิดว่าการเรียกชื่อนั่นมาจาก เนื้อขนม รสสัมผัสของเค้ก ซึ่งผู้ที่คิดค้นสูตรคงมองแล้วว่า เนื้อเค้กให้รสสัมผัสไปทางใด ก็คงเรียกแบบนั้นค่ะ

     เอาล่ะค่ะ กลับมาที่ Zebra Cake ก่อนอื่นต้องบอกถึงที่มาของการทำเค้กนี้ เกิดจากความอยากทำมาเบิ้ลเค้ก ซึ่งติ๊กก็เคยทำไปหลายครั้ง แต่เป็นสูตรบัตเตอร์เค้ก ไม่ใช่สูตร Tangmian Method และก็วาดลายมั่วๆ ไปตามเรื่องตามราว มารอบนี้ติ๊กอยากจะอัดคลิป ก็เลยไปหาไอเดียว่าเราจะทำลายเค้กแบบไหนได้บ้าง ที่ไม่ยากจนเกินไป และออกมาดูดีเป็นที่น่าสนใจ แล้วติ๊กก็มาพบกับ Zebra Cake

     ติ๊กหาวิธีการทำลายเค้ก Zebra เพื่อเอามาหัดทำ จะบอกว่าติ๊กหัดทำรวมรอบนี้ ที่อัดวีดีโอ ก็ 3 รอบเลยค่ะ รอบแรกหยอดไม่ระวัง ไม่ได้ใช้ช้อนตักค่ะ แบบเทลงไปเลย ทำให้กะปริมาณแบทเทอร์ได้ไม่ดี ทำให้แบทเทอร์หกเลอะเทอะจนลายขาดหายแว่งเป็นหย่อมๆ

     หัดทำรอบ 2 ลายเริ่มออกมาดี แต่ติ๊กผสมแบทเทอร์ช็อคโกแลตน้อยไป ทำให้แบทเทอร์ช็อคไม่พอหยอดอีก มารอบนี้รอบที่ 3 ติ๊กแบ่งแบทเทอร์อย่างละครึ่งๆ เท่าๆกัน แล้วใช้ช้อนตักหยอด ไม่ใจร้อนวู่วามเหมือนทุกที เลยทำให้ผลงานรอบนี้ออกมาได้ลายม้าลาย (Zebra) ดีขึ้นเยอะเลย

     เอาล่ะค่ะ มาเข้าเรื่องสูตรกันดีกว่า ว่าวันนี้มีส่วนผสมอย่างไรบ้าง อัตราส่วนจะแตกต่างจากเดิมเล็กน้อยนะคะ ความต่างก็มีผลแค่ปริมาตร และความฟูเบาของเค้กนิดหน่อย แต่ความนุ่มเด้ง อร่อย รับรองไม่แพ้ของเดิมค่ะ


Zebra Cake  (พิมพ์วงกลม 2 ปอนด์)

ส่วนผสมที่ 1 Tangmian Method
  1. เนยสดจืด 65 กรัม
  2. แป้งเค้ก 75 กรัม
ส่วนผสมที่ 2
  1. นมสด 65 กรัม
  2. นมผง 5 กรัม
  3. ไข่แดง 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  4. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา
  5. เกลือ 1/4 ช้อนชา
     บางบ้านอาจไม่ได้มีนมผงก็ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้นะคะ ติ๊กใส่เพื่อให้เค้กมีความหอมมันมากขึ้น ส่วนไข่ไก่ที่ติ๊กใช้เป็นเบอร์ 2 แต่ถ้าอยากได้เนื้อเค้กที่ฟูมากขึ้นได้ปริมาตรที่ดี อบได้เต็มพิมพ์ สามารถใช้ไข่เบอร์ 1 หรือ 0 ทดแทนได้ค่ะ

ส่วนผสมที่ 3 ทำเมอแรงค์
  1. ไข่ขาว 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 120 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
     สูตรนี้หวานน้อยค่ะ ถ้าใครชอบหวานเพิ่มน้ำตาลในสูตรได้เลยนะคะ

ส่วนผสมที่ 4 ช็อคโกแลตสำหรับทำลายเค้ก
  1. ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ (ติ๊กใช้ Van Houten)

วิธีทำ
  1. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศา, ร่อนแป้งเค้กเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย และรองกระดาษรองอบที่ก้นพิมพ์ ไม่ต้องทาไขมัน ซึ่งวันนี้ติ๊กใช้พิมพ์วงกลม 2 ปอนด์ค่ะ
  2. ถัดมาเราจะมาทำแป้งสุกกันก่อน (Tangmian Method) โดยนำเนยไปต้มให้ละลายและเดือดเล็กน้อยค่ะ จากนั้นนำเนยยกลงจากเตา นำมาผสมกับแป้งเค้ก รีบผสมให้เข้ากันโดยเร็ว จนเนื้อเนียนนุ่มเข้ากันดี
  3. แป้งสุกที่ได้จะยังคงร้อน ให้เราเทนมสด นมผง ใส่ลงไปผสมให้เข้ากัน เพื่อลดอุณหภูมิแป้งลงก่อน ถ้าผสมเสร็จแล้วแป้งยังร้อนอยู่ ควรพักให้อุ่นหรือเย็นก่อนที่จะใส่ไข่แดง ไม่งั้นไข่จะสุกทำให้เค้กเป็นไตค่ะ
  4. เมื่อแป้งอุ่นหรือเย็นแล้ว ให้ใส่ไข่แดง และวนิลลาสกัดลงไปผสมให้เข้ากันดี แล้วพักทิ้งไว้ก่อน มาทำเมอแรงค์กันต่อค่ะ
  5. ตีไข่ขาวด้วยสปีด 2 ให้ขึ้นเป็นฟองหยาบ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป ตีต่อให้เป็นฟองละเอียด แล้วทะยอยใส่น้ำตาลป่นลงไปจนหมด ตีไข่ขาวไปเรื่อยๆ จนตั้งยอดอ่อน แล้วให้ตีต่อเพื่อให้เมอแรงค์เนื้อเนียนยิ่งขึ้นและโครงสร้างแข็งแรง (Firm Peak)
  6. นำเมอแรงค์ที่ได้ แบ่ง 3 ส่วน ใส่ลงในชามผสมแป้ง แล้วตะล่อมให้เข้ากันดี
  7. จากนั้นนำแบทเทอร์ที่ได้ แบ่งครึ่งนึงในชามผสมอีกใบหนึ่ง เพื่อจะผสมโกโก้ทำเป็นรสช็อคโกแลต
  8. ร่อนผงโกโก้ลงในชามผสมที่แบ่งไว้ และทำการตะล่อมให้เข้ากันดี
  9. กระแทกโถผสมทั้ง 2 อัน เพื่อไล่ฟองอากาศก่อนจะนำมาใช้
  10. ตักแบทเทอร์ลงพิมพ์ โดยวันนี้ติ๊กจะทำลายม้าลาย (Zebra Cake) ติ๊กใช้ช้อนทานข้าว หรือช้อนโต๊ะ นำมาตักแบทเทอร์
  11. เริ่มจากตักแบทเทอร์สีขาว ใส่ลงไปก่อน ตักลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ หยอดตรงกลางพิมพ์ สลับกับแบทเทอร์ช็อคโกแลต หยอดตรงกลางพิมพ์เช่นกัน ผิวแบทเทอร์ที่ได้จะเป็นลายวงกลมสลับขาวดำ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนแบทเทอร์หมด
  12. จากนั้นก็ทำลายที่ผิวเค้กกันค่ะ ติ๊กใช้ไม้จิ้มฟัน นำมาขีดลาย 8 เส้น ขีดที่ผิวเท่านั้นนะคะ โดยขีดจากขอบพิมพ์เข้ามาตรงกลางพิมพ์ โดยแบ่งเป็น 8 มุมเท่าๆ กัน การขีดแต่ละเส้นจะต้องเช็ดไม้จิ้มฟันที่เปื้อนแบทเทอร์ออกด้วยนะคะ ลายจะได้คมชัด (ติ๊กอาจจะอธิบายได้ไม่ดีนะคะ ดูได้จากในคลิปวีดีโอค่า ^^")
  13. เสร็จแล้ว ก็กระแทกพิมพ์เบาๆ แล้วนำเข้าอบ โดยอบแบบรองน้ำ ติ๊กใช้น้ำร้อนจัดประมาณ 500 มิลลิลิตร เทใส่ลงในถาดรองอบ 
  14. นำเข้าอบด้วยไฟ 170 องศา ไฟบนล่าง 15 นาที แล้วลดไฟลงเป็น 150 องศา อบต่ออีก 35 นาทีค่ะ รอบนี้อบนานขึ้นอีกนิด เพื่อที่ต้องการให้ผิวเค้กสีสวย
  15. เมื่อเค้กสุกดีแล้ว นำออกจากเตาอบ แล้วพักเค้กไว้สักครู่ เค้กจะร่อนออกจากพิมพ์ ก็ทำการแซะขอบ แล้วคว่ำเค้กออกเลยค่ะ
  16. จากนั้นก็พักทิ้งเค้กจนเย็น แล้วก็ตัดๆทานกันเลยค่า

มาดูลายเค้กกัน จริงๆ ติ๊กอยากให้ลายด้านในห่างกว่านี้อีกหน่อย แต่มันออกมาได้แบบนี้
แถมลายยังขาดไปหนึ่งเส้น สังเกตุมั้ยเอ่ย ว่าลายตรงกลางมันจางมากๆ...555




เนื้อเค้ก นุ่มเด้ง เนื้อเนียนฉ่ำ อร่อยมากๆ เลยน้า อยากให้ลองทำทานกันดูค่ะ




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

-------------------------------------------------------------------------------------------

ขนมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่คุณอาจจะสนใจ:

Super Soft Sponge Cake >> คลิกอ่านสูตร





วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

Chocolate Banana Cake

     สวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้ติ๊กจะชวนทำคนมาทำเค้กกล้วยหอมกันอีกแล้ว ก็เป็นขนมเพลนเค้ก ที่ทำได้ไม่ยาก และเป็นที่นิยมโดยทั่วไป สูตรที่ติ๊กจะมำนำเสนอในวันนี้จะเป็นเค้กกล้วยหอม ที่ใช้สารเสริม SP ค่ะ

     โดยปกติสูตรเค้กกล้วยหอม มักนิยมทำเป็นมัฟฟิน หรือไม่ก็สปันจ์ไม่ใช้สารเสริม ซึ่งเนื้อมันจะไม่ค่อยนุ่มมากนักใช่มั้ยค่ะ ติ๊กก็เลยจับ SP ใส่ไปตีด้วยเลย เค้กจะได้นุ่มชุ่มฉ่ำ และสามารถทำได้ปริมาณเยอะทีเดียว เข้าคิวรออบได้สบายๆ โดยไม่ต้องกลัวจะยุบ หน้าไม่ปูดค่ะ

     สำหรับหลายๆท่านที่ได้ติดตามติ๊กกันมานาน จะทราบว่าติ๊กเคยทำชิฟฟ่อนเค้กกล้วยหอมไปแล้ว และก็คงจะสงสัยกันว่า สูตรนี้เนื้อจะนุ่มกว่ามั้ย? ตอบเลยค่ะว่านุ่มน้อยกว่านิดเดียวเอง เพราะเนื้อจะแน่นกว่าค่ะ เนื้อไม่เบาเท่าสูตรชิฟฟ่อน เพราะในสูตรสปันจ์นี้ใช้แป้งเยอะ และใส่ช็อคโกแลตด้วย ถามถึงความอร่อย ติ๊กก็ให้เต็ม 100 นะคะ

     ส่วนตัวติ๊กชอบมากนะคะ ทำง่ายกว่าชิฟฟ่อนค่ะ เหมาะสำหรับสายสปันจ์ที่ถนัดใช้สารเสริม ทำแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน ต้องลองกันนะคะ



เค้กกล้วยหอมช็อคโกแลต 
ใส่กระทงจีบไต้หวัน 4327 ประมาณ 20-22 ถ้วย

ส่วนผสมที่ 1
  1. แป้งเค้ก 155 กรัม
  2. ผงโกโก้ 25 กรัม (ติ๊กใช้ Van Houten)
  3. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  4. เบกกิ้งโซดา 3/4 ช้อนชา
  5. เกลือ 1/4 ช้อนชา

ส่วนผสมที่ 2
  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์ 0)
  2. น้ำตาล 135 กรัม (ติ๊กชอบทานหวานน้อย ถ้าใครชอบหวานสามารถเติมน้ำตาลได้อีกค่ะ)
  3. กล้วยหอมสุกงอม 200 กรัม
  4. สารเสริม SP 15 กรัม (ติ๊กใช้อเมริกันเบเกอร์)
  5. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา
  6. กลิ่นกล้วยหอม 1/2 ช้อนชา

ส่วนผสมที่ 3
  1. ช็อคโกแลต 45 กรัม (ในคลิปใช้ Ghirardelli Cocao 60%)
  2. เนยสดจืด 75 กรัม
  3. นมสด 65 กรัม

     *สูตรนี้ทำเค้กกล้วยหอมรสธรรมดาได้นะคะ ก็แค่เปลี่ยนผงโกโก้เป็นแป้งเค้กค่ะ และไม่ต้องใส่ช็อคโกแลต ให้เปลี่ยนช็อคโกแลตเป็นเนยสดแทนค่ะ

     *สำหรับช็อคโกแลต สามารถใช้ Dark choc 58% ก็ได้นะคะเข้มข้นเหมือนกัน แต่ถ้าใครไม่ชอบช็อคเข้มๆ และอยากให้เค้กหวานนิดนึงก็ใช้ Semi-Sweet Choc แทนได้เลยค่ะ

วิธีทำเค้กกล้วยหอม

  1. วอร์มเตาอบด้วยไฟบนล่าง 200 องศา
  2. นำส่วนผสมที่ 3 ประกอบไปด้วย ช็อคโกแลต เนย และนมสด นำไปตุ๋นให้ละลายเข้ากันดีค่ะ ติ๊กใช้วิธีวางในน้ำร้อนที่ร้อนจัด และแช่ทิ้งไว้เลย จนกว่าจะใช้ ค่อยมายกออกค่ะ แต่วิธีนี้แนะนำว่าควรเตรียมวัตถุดิบให้เรียบร้อย พร้อมจะทำเค้ก แล้วค่อยนำเนยไปละลายนะคะ เวลาจะใช้งานจะได้พอดีกัน
  3. นำไข่ไก่, SP และกล้วย ใส่ลงไปในชามผสม ตีด้วยสปีดต่ำ ให้กล้วยอ่อนตัวนิดนึง แล้วค่อยปรับเป็นสปีดสูงสุด ตีจนไข่ขึ้นเป็นครีมเล็กน้อยค่ะ
  4. เมื่อไข่ขึ้นฟูเล็กน้อย ให้ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปตีพร้อมกัน ตีจนไข่ขึ้นฟูเป็นริบบิ้นสเตจ ไข่จะมีลักษณะเป็นครีมที่ข้น เมื่อตักครีมขึ้นมาจะไหลหยดลงเป็นชั้นๆ โดยไม่จมเหลวลงไปในครีมค่ะ ติ๊กใช้เวลาประมาณ 3-4 นาที แต่ก็ไม่เสมอไปนะคะ ขึ้นอยู่กับความแรงของอุปกรณ์ และประสิทธิภาพของ SP ค่ะ บางคนอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้ก็ได้
  5. ใส่วนิลลาสกัด กลิ่นกล้วยหอมลงไป ผสมพอเข้ากัน
  6. จากนั้นใส่ส่วนผสมที่ 1 แป้งเค้ก ผงโกโก้ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือ ลงไป ติ๊กไม่ได้ร่อนนะคะ ผสมลงไปเลย ตีด้วยสปีดต่ำค่ะ ตีเพียงแค่ให้พอเข้ากัน ให้ปาดก้นโถและด้านข้างด้วยนะคะ
  7. เมื่อเข้ากันดีแล้ว ก็ใส่ส่วนผสมที่ 3 ที่เราได้นำไปละลายไว้ตามข้อที่ 1. ค่อยๆ ทะยอยใส่ลงไป ตีด้วยสปีดต่ำเหมือนเดิม ผสมให้เข้ากันดีค่ะ
  8. จากนั้นนำแบทเทอร์ที่ได้ เทลงใส่พิมพ์ ติ๊กใช้กระทงจีบไต้หวันเบอร์ 4327 ค่ะ เทลงไปเกือบเต็มพิมพ์ค่ะ
  9. นำเข้าอบด้วยไฟบนล่าง 200 องศา ประมาณ 20 นาที ค่ะ
  10. อบเสร็จแล้ว ให้นำเค้กออกจากพิมพ์อลูมิเนียมนะคะ ไม่ควรพักไว้ในพิมพ์ กระทงจะเปียกแฉะค่ะ

     ใครชอบทานร้อนๆ ก็จัดกันไปเลยค่ะ แต่ติ๊กคิดว่าขนมเค้กเหมาะที่จะเก็บพักในตู้เย็นสักคืนแล้วค่อยทาน รสชาติจะเข้าที่เข้าทางมากกว่า ไม่รู้ว่าคิดทึกทักไปเองมั้ย มีใครชอบพักเค้กในตู้เย็นแล้วค่อยนำมาทานเหมือนติ๊กกันมั้ยค่า ^^



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Taro-Chiffon-Cake-Thai-Custard

ชิฟฟ่อนเค้กหม้อแกงเผือก


     สวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้ติ๊กจะมาทำชิฟฟ่อนเค้กหม้อแกงเผือก สูตรของครัวการอาชีพวังไกลกังวลค่ะ แต่ติ๊กมีดัดแปลงสูตรเล็กน้อยนะคะ สูตรเดิมก็อร่อยอยู่มากแล้วค่ะ แต่ที่ติ๊กดัดแปลงเพื่อทำให้ถูกปากตัวเองมากขึ้นค่ะ


     สำหรับเค้กหม้อแกงเผือก จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนค่ะ 1. คาราเมล 2. หม้อแกงเผือก และ 3. เค้กชิฟฟ่อนค่ะ โดยติ๊กได้ลดทอนสูตรจากเดิม เพื่อใช้ในพิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว 1 พิมพ์

     เรามาเริ่มทำคาราเมลกันก่อนเลยค่ะ คาราเมลทำเพื่อนำไปเคลือบก้นพิมพ์นะคะ

สูตรคาราเมล
  1. น้ำตาลทราย 60 กรัม
  2. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา 
  3. น้ำเปล่า 40 มิลลิลิตร
     เดิมทีถ้าลดทอนสูตรลงแล้ว ยังคงต้องใช้น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำตาล 50 กรัมค่ะ แต่ส่วนตัวติ๊กรู้สึกว่ารสชาติคาราเมลจะติดเปรี้ยวมากไป จนคนทานสัมผัสได้ ติ๊กเลยลดสูตรลงมา ปรากฎว่าดีขึ้น คนชิมไม่มีใครติเรื่องความเปรี้ยวแล้วค่ะ เพราะได้เพิ่มสัดส่วนน้ำตาลและน้ำลงไปด้วย

วิธีทำ
  1. นำน้ำตาลและมะนาวใส่ลงไปในกระทะ นำไปเคี่ยวด้วยไฟปานกลาง โดยที่ไม่ต้องคนน้ำตาลจนกว่าน้ำตาลจะเปลี่ยนสีเป็นคาราเมล แล้วจึงคนให้เข้ากัน 
  2. เมื่อน้ำตาลเปลี่ยนสี ให้ลดไฟลงใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่อ เติมน้ำเปล่าลงไปคนให้พอเข้ากัน แล้วปิดเตาเลยค่ะ
  3. คนต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าคาราเมลจะหายเดือด แล้วจึงยกลงจากเตา เราก็ได้คาราเมลพร้อมใช้งานแล้วค่ะ
  4. นำคาราเมลเทลงในพิมพ์เลยค่ะ พิมพ์ที่ใช้เป็นสี่เหลี่ยม 8x8 นิ้วนะคะ ไม่ต้องวางกระดาษรองอบ ไม่ต้องทาไขมันค่ะ
  5. ให้คาราเมลเคลือบก้นพิมพ์ให้ทั่ว และให้เน้นตรงกลางเป็นพิเศษนะคะ ไม่ควรเคลือบตรงกลางบางไป หม้อแกงอาจจะติดก้นพิมพ์ได้ เพราะตอนทำครั้งแรกติ๊กโดนไปเรียบร้อย คว่ำเค้กลงมาหม้อแกงตรงกลางติดก้นเลย เสร็จแล้วพักไว้ก่อนนะคะ

     จากนั้นมาทำหม้อแกงเผือกกันต่อค่ะ

สูตรหม้อแกงเผือก
  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลโตนด 65 กรัม
  3. กะทิ 50 กรัม (ยี่ห้อพร้าวหอม)
  4. นมสด 100 กรัม
  5. เผือกนึ่ง 50 กรัม (ติ๊กใช้เผือกหอมค่ะ)
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
     สำหรับสูตรหม้อแกงเผือก ติ๊กได้ปรับลดน้ำตาลลงมาค่ะ ลดทอนสูตรจากของเดิมซึ่งใช้ 100 กรัม ถ้าใครชอบหวานมากก็จัดตามสูตรเดิมไปเลยค่ะ นอกจากนี้ติ๊กได้เปลี่ยนกะทิ มาใส่นมเติมเข้าไปแทน เพราะน้ำตาลโตนดที่ติ๊กใช้ รสชาติ ความหอมมัน เป็นอะไรที่เข้มข้นมาก ถ้าใส่กะทิทั้งหมด หม้อแกงจะเลี่ยนไปค่ะ คุณแม่ไม่ชอบเท่าไรนัก เลยต้องผสมนมลงไป ใครชอบกะทิจัดจ้าน ก็เปลี่ยนจากนมสดเป็นกะทิเหมือนเดิมได้เลยค่ะ

วิธีทำหม้อแกงเผือก
  1. นำส่วนผสมทุกอย่างใส่ในโถปั่น ปั่นให้ละเอียดจนเข้ากันดีค่ะ
  2. จากนั้นก็เทหม้อแกงลงในพิมพ์ ลองแตะดูคาราเมลเสียหน่อยว่าเหนียวหนึบติดพิมพ์ดีรึยังนะคะ ถ้ายังก็นำไปแช่ฟรีซแป๋บเดียวให้เซ็ตตัวหน่อย ก่อนที่จะเทหม้อแกงลงไป 
  3. เมื่อคาราเมลเซ็ตตัวดีแล้ว ก็เทหม้อแกงลงด้านข้างๆพิมพ์ค่ะ ติ๊กแอบกลัวค่ะ ถ้าเทตรงกลางเดี๋ยวจะทำให้คาราเมลที่เคลือบไว้ร่อนออก ก็ทำครั้งแรกมันติดก้นพิมพ์อ่ะเนาะ รอบนี้เลยหลอนค่ะ ก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยได้จริงรึป่าวนะคะ
     เทหม้อแกงเสร็จแล้ว เราก็พักทิ้งไว้ก่อน มาเตรียมชิฟฟ่อนเค้กเผือกกันค่ะ

สูตรชิฟฟ่อนเค้กเผือก

ส่วนผสมที่ 1
  1. ไข่แดง 3 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  3. น้ำมันพืช 65 (ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวัน)
  4. กะทิ 80 กรัม (ยี่ห้อพร้าวหอม)
  5. เผือกนึ่ง 65 กรัม (ติ๊กใช้เผือกหอมค่ะ)
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  7. สีม่วง 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 2
  1. แป้งเค้ก 75 กรัม
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 3
  1. ไข่ขาว 3 ฟอง
  2. น้ำตาลป่น 85 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
     สำหรับชิฟฟ่อนเผือก ติ๊กได้ปรับลดแป้งลงมาจากเดิม (ตามสูตรเดิมถ้าคำนวณไม่ผิดใช้ 107 กรัม) ลดน้ำมันลงหน่อย เพิ่มกะทิเข้าไปแทน เพื่อให้เค้กหอมมันมากขึ้นค่ะ

วิธีทำชิฟฟ่อนเค้กเผือก
  1. ร่อนแป้งกับผงฟูลงในชามผสม และทำหลุมตรงกลางค่ะ จากนั้นพักไว้ก่อน
  2. นำส่วนผสมที่ 1 เทลงในโถปั่น แล้วปั่นให้ทุกอย่างเข้ากันดีค่ะ
  3. เทส่วนตามข้อ2. ลงในชามผสมแป้งที่ร่อนไว้แล้ว แล้วตะล่อมให้เข้ากันดี จนไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง
  4. แบทเทอร์ที่ได้อาจมีฟองอากาศเยอะ ติ๊กเลยกระแทกพิมพ์ไล่ฟองอากาศออกเสียหน่อยค่ะ แล้วพักไว้ก่อน มาทำเมอแรงค์ต่อค่ะ
  5. ตีไข่ขาวด้วยสปีด 2 ให้ขึ้นเป็นฟองหยาบ ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป ตีต่อให้เป็นฟองละเอียด แล้วทะยอยใส่น้ำตาลป่นลงไปจนหมด ตีไข่ขาวไปเรื่อยๆ จนตั้งยอดอ่อน แล้วให้ตีต่อเพื่อให้ไข่เนื้อเนียนยิ่งขึ้นและโครงสร้างแข็งแรง (Firm Peak)
  6. นำเมอแรงค์ที่ได้ แบ่ง 3 ส่วน ใส่ลงในชามผสมแป้ง แล้วตะล่อมให้เข้ากันดี เมื่อเข้ากันดีแล้ว ให้ตะล่อมต่ออีกสัก 10-15 ครั้ง ให้เนื้อเนียนขึ้นค่ะ
  7. เทแบทเทอร์ลงพิมพ์ที่ราดหม้อแกงเอาไว้ ให้เทลงอย่างช้าๆ จะช่วยตัดฟองอากาศใหญ่ๆได้อีก (ติ๊กใส่แบทเทอร์ลงไปไม่หมดนะคะ มีเหลืออยู่นิดหน่อย)
  8. กระแทกพิมพ์เบาๆ เพื่อไล่ฟองอากาศ วันนี้ติ๊กมาในโหมดไม่รุนแรง กระแทกพิมพ์อย่างเบามือ และมีเคาะพิมพ์ด้านข้างด้วย (มีเพื่อนที่ดูคลิปทักมาว่าทำชิฟฟ่อนอย่ารุนแรงนะเธอ เดี๋ยวจะยุบหมด แหมที่ผ่านมาก็กระทำไปเยอะเลย )
  9. จากนั้นนำเข้าอบ โดยวิธีรองน้ำนะคะ ใส่น้ำร้อนจัดลงในถาดรองอบประมาณ 500 มิลลิลิตร
  10. นำเข้าอบด้วยไฟบนล่าง 170 องศา ติ๊กใช้เวลาอบ 25 นาทีเป๊ะค่ะ วันนี้ติ๊กเช็คสุก นอกจากจะใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มตรงกลาง ติ๊กได้ใช้มือสัมผัสผิวเค้กด้านบนค่ะ โดยกดลงไป หากเนื้อเค้กเด้งกลับมาก็เอาออกจากเตาค่ะ แต่ถ้ายังบุ๋มลงไปก็ให้อบต่ออีกนิด เทคนิคนี้จำไม่ได้ว่าอ่านเจอที่ไหน ลืมเซฟไว้ เขาบอกว่าเค้กไข่บางทีแม้จะอบสุกแล้วแต่โครงสร้างยังไม่แข็งแรงดี เค้กยังไม่เซ็ตตัวก็จะทำให้ยุบตรงกลางได้ จึงให้เช็คสุกด้วยวิธีนำนิ้วมือกดลงไปที่ผิวเค้กด้านบน ถ้าเค้กเด้งไม่เห็นเป็นรอยนิ้ว ก็ให้เอาออกจากเตาได้เลย
  11. อบสุกดีแล้ว ก็เอาออกจากเตา แล้วรีบนำออกจากพิมพ์ค่ะ ไม่ต้องพักทิ้งไว้นะคะ เพราะมีหม้อแกงอยู่ข้างล่าง เราต้องเอาออกเลยไม่งั้นหม้อแกงอาจจะติดพิมพ์ได้ ติ๊กขอไม่เสี่ยงที่จะพักเค้กจ้า
  12. แซะขอบทั้ง 4 ด้าน คว่ำเค้กลงบนตะแกรง และเคาะพิมพ์เสียหน่อย เพื่อจะช่วยให้หม้อแกงร่อนออกได้ง่ายบ้างเนาะ (มโนไปเองว่าจะช่วยได้...555)
  13. จากนั้นก็พักเค้กให้เย็นลง แล้วก็ตัดๆ ชิมกันเลยค่า


     รสชาติเค้กได้อารมณ์ทานหม้อแกงเผือกเลยนะเนี่ย ทีแรกก็คิดนะคะว่ามันจะไปกันได้หรือ หม้อแกงเผือกกับเค้ก แต่มันเป็นไปได้จริงๆค่ะ อร่อยมาก ยิ่งถ้าใครชอบขนมหม้อแกงนะคะ ควรจัดโลดเลยค่ะ
เป็นเค้กอีกสูตรนึงที่น่าสนใจ และเป็นที่โปรดมากสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่เลยค่ะ คุณแม่ติ๊กเอาไปแจกเพื่อนๆ และได้เอาไปทำบุญ มีแต่คนชมว่าอร่อย ทำเอาคนทำยิ้มไม่หุบ เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของเรานะคะ
คำชมเปรียบเสมือนกำลังใจ ให้เราได้ฮึดสู้ทำขนมต่อไป วันนี้ติ๊กก็ขอลาไปก่อนน้า

     หวังว่าสูตรนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนที่แวะหลงทางเข้ามาบ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking




วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Caramel Popcorn

     สวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้ติ๊กจะชวนทุกคนมาทำคาราเมลป๊อปคอร์นทานเล่นกันค่ะ เป็นเมนูที่ต้องทานอย่างระมัดระวังนะคะ ถ้าทานหมดสูตรนี้คนเดียว บอกเลยว่าได้อ้วนลงพุงแน่ๆ

     สำหรับป๊อปคอร์นในวันนี้ ติ๊กใช้ Mushroom Popcorn เป็นป๊อปคอร์นแบบหัวกลมค่ะ ส่วนตัวแล้วติ๊กชอบป๊อปคอร์นแบบกลมๆ รู้สึกว่าความกลมของมันจะทำให้ราดคาราเมลง่าย คลุกง่าย แซะง่าย แต่จะให้มันออกดอกให้กลมทุกเม็ดไม่ง่ายเลยค่ะ



มาเข้าเรื่องสูตรกันเลยดีกว่าค่ะ

คาราเมลป๊อปคอร์น Caramel Popcorn


ส่วนที่ 1 ข้าวโพดคั่ว
  1. เมล็ดข้าวโพด 100 กรัม
  2. น้ำมันพืช 4 ช้อนโต๊ะ
ส่วนที่ 2 คาราเมล
  1. น้ำตาลทราย 150 กรัม
  2. น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำเชื่อมข้าวโพด 30 มิลลิตร
  4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  5. วิปปิ้งครีม 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เนยจืด 30 กรัม
  7. เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา

วิธีทำคาราเมลป๊อปคอร์น
  1. นำหม้อหรือกระทะที่จะใช้คั่วข้าวโพดตั้งเตา ใช้ไฟปานกลางค่อนไปทางแรงค่ะ ใส่น้ำมันลงไป รอน้ำมันจนกว่าจะร้อน
  2. เมื่อน้ำมันร้อน สังเกตุจากหม้อเริ่มมีควันขึ้น ก็คนๆ น้ำมันเล็กน้อย ให้ความร้อนกระจายตัว แล้วก็ใส่เมล็ดข้าวโพดลงไป
  3. ผัดให้น้ำมันเคลือบข้าวโพดเท่าๆกัน แล้วปิดฝารอเมล็ดข้าวโพดแตก
  4. ระหว่างที่เมล็ดข้าวโพดเริ่มแตก ก็ให้ขยับหม้อบ้าง เพื่อให้ความร้อนกระจายตัวเท่าๆกัน และป้องกันไม่ให้ป๊อปคอร์นไหม้ค่ะ
  5. เมื่อเสียงป๊อปเริ่มเงียบ ก็ปิดเตาค่ะ แล้วก็เขย่าๆนิดนึง เผื่อจะมีบางเม็ดที่อาจจะป๊อปเพิ่ม ติ๊กเช็คดูป๊อปคอร์นว่าออกดอกดีหรือไม่ ก็ออกดอกมาสวยบ้าง เบี้้ยวบ้าง แตกเป็น Butterfly บ้าง ติ๊กไม่เคยทำแล้วให้ป๊อปคอร์นออกเป็นเห็ดกลมๆ ได้ทุกเม็ดเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความร้อนตอนคั่วไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะตอนเขย่าๆหม้อ คงทำไม่เป็น ไม่รู้ต้องคั่วอย่างไร เขย่าอย่างไร ให้ความร้อนมันเท่าๆกัน แต่โดยรวมก็โอเคค่ะ ออกดอกได้เยอะอยู่
  6. จากนั้นก็เทข้าวโพดลงในอีกชามผสม เพื่อจะเอาเมล็ดที่ไม่แตก ที่อยู่ด้านล่างคัดทิ้งไปค่ะ
  7. เตรียมทำคาราเมล นำน้ำตาลใส่กระทะ ขึ้นตั้งเตาใช้ไฟปานกลาง 
  8. เทน้ำเปล่าตามลงไป แล้วรอจนกว่าน้ำตาลจะเดือด เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาลอ่อนๆ แล้วค่อยคนให้เข้ากันดี
  9. ปรับไฟเป็นไฟอ่อน ใส่ไซรับลงไปคนให้เข้ากัน ตามด้วยเกลือแล้วผสมให้เข้ากันดี
  10. จากนั้นก็ใส่วิปปิ้่งครีม ค่อยๆเทนะคะ เพราะมันจะกระเด็น และคนไปเรื่อยๆ จนเข้ากัน 
  11. ใส่เนยสดค่ะ คนให้เนยละลายเข้ากันดี
  12. ใส่เบกกิ้งโซดา แล้วปิดเตาเลยค่ะค่ะ คนให้เข้ากัน ซึ่งคาราเมลจะสมูทขึ้น เนื้อจะฟู ให้ราดลงบนข้าวโพดให้ทั่วค่ะ รีบราดแล้วก็คุลกให้เข้ากันดี
  13. จากนั้นนำป๊อปคอร์นใส่ลงในถาดอบ เพื่อนำไปอบให้แห้งและกรอบ ติ๊กใช้ตะแกรงวางบนถาดและมีกระดาษรองอบอยู่ด้านล่างค่ะ กันคาราเมลแห้งติดถาด ถ้ามีตะแกรงถี่กว่านี้อีกหน่อยก็จะดีมาก เพราะป๊อปคอร์นบางเม็ดมันตกร่อง ทำให้แซะยากนิดนึง
  14. ติ๊กจะอบป๊อปคอร์น 2 รอบนะคะ โดยรอบแรกนำเข้าอบ 160 องศา เป็นเวลา 10 นาที เพื่อให้สีคาราเมลเข้มขึ้น 
  15. เมื่อนำออกจากเตาอบ ให้ทำการเกลี่ยและแซะคาราเมลไม่ให้เกาะติดกัน แล้วนำไปอบต่อรอบ 2
  16. รอบที่ 2 ให้อบที่อุณหภูมิ 100 องศา เป็นเวลา 40 นาที ต้องให้แน่ใจว่าเตาอบอยู่ในอุณหภูมิที่ 100 องศาแล้วนะคะ ถ้าไฟแรงเกินแล้วอบนาน ข้าวโพดก็จะหดตัวค่ะ
  17. เมื่ออบเสร็จแล้ว ป๊อปคอร์นจะแห้งกรอบ เราก็แซะป๊อปคอร์นออกมา การวางป๊อปคอร์นบนตะแกรงสำหรับติ๊กแล้วจะทำให้แซะง่ายกว่าที่วางบนกระดาษค่ะ  เพราะที่ผ่านมาเคยอบนกระดาษรองอบแล้วคาราเมลมันไหลเยิ้มติดกระดาษ พอมันแห้งก็ติดกันเป็นแพเลย แซะป๊อปคอร์นออกยากด้วย หลังจากนั้นก็เลยวางบนตะแกรงดีกว่า
  18. แซะป๊อปคอร์นออกมาแล้ว เราก็เก็บลงใส่ภาชนะปิดไม่ให้อากาศเข้า จะทำให้ป๊อปคอร์นกรอบนาน แต่ทว่าติ๊กเก็บได้เต็มที่แค่คืนเดียว ก็หมดแล้วค่า



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Double Chocolate Soft Butter Cake

     สวัสดีทุกคนค่า กลับมาอีกครั้งกับสูตรเค้กไม่ใส่ผงฟูจ้า จากคราวก่อนติ๊กได้ลงสูตร Cranberry Yogurt Ogura Cake ที่เป็นชิฟฟ่อนไม่ใส่ผงฟูไป มาคราวนี้จึงนำสูตรเค้กช็อคโกแลตไม่ใส่ผงฟูมาฝากกันบ้าง
แต่จะทำสูตรคล้ายคราวก่อนเกรงว่าจะจำเจ ก็เลยเปลี่ยนบ้างไรบ้าง ดัดแปลงสูตรจากของเดิมจนกลายมาเป็น Double Chocolate Soft Butter Cake


 
     สูตรเค้กช็อคนี้ไม่ได้ใช้เพียงแต่ผงโกโก้อย่างเดียวนะคะ  ได้มีใส่ช็อคโกแลตและเนยละลายลงไปด้วย เพื่อให้เค้กมีความหอมฉ่ำ จึงทำให้เนื้อเค้กมีความคล้ายบัตเตอร์ แต่จะนุ่มเบา เนื้อไม่หนักเลยค่ะ ทานได้เพลินๆ

     สำหรับคนที่ชอบเนื้อแบบชิฟฟ่อน ไม่อยากใส่ช็อคโกแลตและเนย ปรับสูตรโดยเพิ่มผงโกโก้อีก 15 กรัม โดยไม่จำเป็นต้องลดแป้งเค้ก ตัดส่วนผสมช็อคโกแลตออกไปไม่ต้องใส่ และเปลี่ยนจากเนยเป็นน้ำมันแทนค่ะ เพียงแค่นี้ก็จะได้เค้ก Chocolate Ogura Cake เนื้อจะเหมือนกับ Cranberry Yogurt Ogura Cake ที่ติ๊กเคยทำไว้ค่ะ

Double Chocolate Soft Butter Cake *พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว*

ส่วนผสมที่ 1
  1. แป้งเค้ก 40 กรัม
  2. ผงโกโก้ 25 กรัม (ติ๊กใช้ยี่ห้อ Van Houten)
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. ไข่แดง 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  5. ไข่ทั้งฟอง 1 ฟอง (เบอร์ 2)
  6. น้ำตาลทราย 25 กรัม
  7. นมสด 40 กรัม
  8. เนยเค็ม 50 กรัม
  9. ดาร์คช็อคโกแลต 50 กรัม (แนะนำให้ใช้ช็อค 58% ขึ้นไป แต่ในคลิปใช้ดาร์คช็อค Cocoa 70% ยี่ห้อ Lindt)
  10. วนิลลาสกัด 2 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 2
  1. ไข่ขาว 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา (หรือน้ำมะนาวทดแทนได้ค่ะ)
วิธีทำ
  1. วอร์มเตาอบไฟบนล่างที่อุณหภูมิ 140 องศาไว้ก่อนเลยค่ะ
  2. วางกระดาษไขที่ก้นพิมพ์ให้เรียบร้อย ไม่ต้องทาไขมันใดๆ วันนี้ติ๊กใช้พิมพ์ 8x8 นิ้วเหมือนเคย แบบว่ามันอบง่าย สุกเร็ว ติ๊กจึงชอบใช้พิมพ์สี่เหลี่ยมเป็นพิเศษค่ะ
  3. จากนั้น ให้ละลายเนยกับช็อคโกแลตเตรียมเอาไว้ ติ๊กใช้วิธีละลายโดยนำช็อคและเนยใส่ชาม แล้วนำไปวางในน้ำร้อนจัด แต่ใครจะใช้วิธีการละลายโดยนำไปเวฟก็ได้นะค่ะ โดยส่วนตัว ติ๊กไม่ค่อยจะชอบเวฟเพราะมันร้อนเร็วทำให้เนยกระเด็น เมื่อละลายเสร็จแล้วก็พักเอาไว้ก่อนนะคะ เราจะมาตีไข่แดงกับน้ำตาลกัน
  4. ใส่ไข่แดง ไข่ทั้งฟอง และน้ำตาล ลงในโถผสม แล้วตีให้เนียน จนเป็นครีมสีเหลือง
  5. เมื่อตีไข่ดีแล้ว ก็ใส่นมสดลงไปผสมให้เข้ากัน
  6. นำเนยกับช็อคโกแลตที่ละลายเตรียมไว้ เทใส่ลงไปผสมให้เข้ากันดี *ไม่ควรให้เนยกับช็อคร้อนนะคะ อาจทำให้ไข่สุกได้
  7. ใส่วนิลลาสกัดลงไปผสมพอเข้ากัน
  8. ร่อนแป้งเค้ก ผงโกโก้ เกลือ ลงในโถผสมไข่ แล้วตะล่อมให้เข้ากันดีจนไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง แล้วพักไว้ก่อน เราจะมาทำเมอแรงค์ต่อค่ะ
  9. นำไข่ขาวใส่ในชามผสมอีกใบ แล้วตีด้วยสปีด 2 ตีไข่ให้ขึ้นเป็นฟองหยาบ แล้วใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป ให้ตีต่อจนไข่ขึ้นเป็นฟองละเอียดมากขึ้น ก็ให้ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปจนหมด ให้ตีไข่ไปเรื่อยๆ จนไข่ตั้งยอดอ่อนก่อนจะถึงยอดแข็ง หรือที่เรียกกันว่า Firm Peak
  10. เมื่อได้เมอแรงค์แล้ว นำมาแบ่งผสม 3 ส่วน ลงในแบทเทอร์ที่เราเตรียมไว้ตอนแรก ตะล่อมเมอแรงค์ให้เข้ากันดี เมื่อผสมเข้ากันดีแล้ว ให้ตะล่อมต่อ 10-15 ครั้งให้เนื้อแบทเทอร์เนียนยิ่งขึ้น
  11. เทแบทเทอร์ลงพิมพ์ ค่อยๆเทลงอย่างช้าๆ จะช่วยตัดฟองอากาศใหญ่ได้ จากนั้นก็กระแทกพิมพ์ไล่ฟองอากาศ วันนี้ไม่ได้ใช้ไม้จิ้มฟันวนค่ะ เพราะดูจากเนื้อแล้วค่อนข้างละเอียดดี ติ๊กก็เลยขี้เกียจค่า
  12. นำเข้าอบ โดยเปลี่ยนอุณหภูมิเป็น 170 องศา เบากว่าคราวก่อนหน่อย เพราะแบทเทอร์วันนี้มีเนยกับช็อคผสมลงไป กลัวหน้าจะปริ ติ๊กใช้เวลาอบ 30 นาทีเป๊ะ เค้กก็ออกมาสุกสวยงาม
  13. เอาออกมาจาเตาอบแล้ว ให้กระแทกพิมพ์ 3 ครั้ง ปรับโครงสร้างเค้ก แล้วทำการคว่ำลงบนตะแกรง คว่ำพักไว้ก่อนสัก 10 นาที ติ๊กแอบไปทานข้าวแล้วค่อยกลับมาพลิกด้านเค้ก จนเลยเวลาไปเลย น่าจะพักทิ้งเค้กไปราวๆ 20 นาทีได้ ด้วยที่ไปลักพักลักจำมาว่า เค้กที่ใช้สูตรแยกไข่ขาว เมื่ออบเสร็จให้คว่ำเค้กทิ้งไว้จะช่วยให้หน้าเค้กตึง ไม่หด ก็เลยลองทำดู สรุปว่าเค้กก็ไม่หดแล้วร่อนออก (หรือทึกทักไปเองน้า) แต่ก็ยังคงมีแอบเหี่ยวยับตรงขอบบ้างนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะสูตรของมันเองมั้ง เพราะติ๊กทำกี่ทีกี่ทีก็ได้แบบนี้ แต่ถ้าเปลี่ยนจากไข่ทั้งฟอง มาใส่ผงฟูแทน หน้าเค้กจะเรียบตึงทันที ไม่ย่นแบบนี้ เท่าที่สังเกตุในเตาอบ การขึ้นฟูของเค้กจะต่างกัน เมื่อใช้ไข่ทั้งฟองจะขึ้นฟูฟ่องเว่อร์วังโดยเฉพาะด้านข้างเค้กฟูมากกว่าปกติ ผิดกับการอบชิฟฟ่อนใช้ผงฟู ก็เดาว่าน่าจะสาเหตุนี้ค่ะ
  14. หลังจากติ๊กเผลอคว่ำเค้กไป 20 นาทีได้ ก็พลิกด้านขึ้นมา แซะเค้กออกจากพิมพ์ นำวางบนตะแกรงพักทิ้งให้หายร้อน แล้วนำมาตัดเสิร์ฟค่ะ
     เค้กช็อคสูตรนี้อร่อยมากๆ เนื้อเค้กมีความเป็นบัตเตอร์ แต่จะนุ่มเบาทานได้เพลินๆ แม้จะแช่เย็นแล้วเอาออกมาทานเลยก็ยังนุ่มค่ะ จะบอกว่าเอาไปแช่เย็นสักคืนแล้วค่อยนำมาทานจะชุ่มฉ่ำกว่าอบแล้วทานเลยนะคะ




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Toffee Cake

     สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ไม่ต้องพูดเกริ่นอะไรมากเลยนะคะ ติ๊กจะชวนทุกคนมาทำท๊อฟฟี่เค้กกัน ตัวเค้กเป็นรสชาติมอคค่าจะไม่ออกกาแฟจัดจ้านมากนักนะคะ และมีความหอมจากโกโก้เล็กน้อย ส่วนตัวซอสท๊อฟฟี่รสชาติจะหวานน้อย และหอมคาราเมลมั่กมาก เวลาไปซื้อทานข้างนอกติ๊กจะไม่ค่อยได้เจอรสชาติท๊อฟฟี่เค้กแบบหอมคาราเมลเท่าไร ซื้อทานไม่ค่อยจะถูกใจ ทำทานเองปรุงแต่งได้โดนใจกว่าค่ะ



     ติ๊กบอกเลยค่ะว่าท๊อฟฟี่เค้กสูตรนี้ จุดเด่นคือตัวซอส รับรองว่าทานชิ้นเดียวไม่พอแน่นอน มาดูที่สูตรเค้กกันก่อนค่ะ

สูตรเค้กมอคค่า *พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว
ส่วนผสมที่ 1
  1. แป้งเค้ก 65 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. ผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ
  5. ผงกาแฟ 1 ช้อนโต๊ะ
  6. ไข่แดง 3 ฟอง (เบอร์ 2)
  7. น้ำตาลทราย 15 กรัม
  8. นมสด 40 กรัม
  9. เนยเค็มละลาย 30 กรัม
  10. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา 
  11. กาแฟสกัด 1/2 ช้อนชา (ไม่มีไม่ต้องใส่ก็ได้ค่า)
ส่วนผสมที่ 2
  1. ไข่ขาว 3 ฟอง (เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. วอร์มเตาอบไฟบนล่างที่อุณหภูมิ 150 องศา
  2. วางกระดาษรองอบที่ก้นพิมพ์ ไม่ต้องทาไขมันใดๆที่พิมพ์
  3. นำไข่แดงกับน้ำตาลใส่ชามผสม แล้วตีให้เป็นเนื้อครีมสีเหลืองอ่อนๆ
  4. ผสมกาแฟกับนมสด คนให้กาแฟละลาย แล้วเทลงในชามผสมไข่แดง คนให้เข้ากัน
  5. ใส่เนยละลายลงไป คนให้ทุกอย่างเข้ากันดี
  6. ใส่วนิลลาสกัด กาแฟสกัด คนพอเข้ากัน
  7. ร่อนแป้ง ผงโกโก้ ผงฟู และเกลือ ลงในชามผสมไข่แดง ตะล่อมแป้งให้เข้ากันจนเนื้อเนียนไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง เนื้อแบทเทอร์จะข้นหนืดหน่อยนะคะ แล้วพักไว้ก่อน
  8. มาทำเมอแรงค์ นำไข่ขาวใส่ลงในชามผสมอีกใบ โดยตีไข่ขาวด้วยสปีด 2 ให้ขึ้นเป็นฟองหยาบ แล้วใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป แล้วตีต่อจนไข่ขาวขึ้นเป็นฟองละเอียดมากขึ้น ก็ให้ทะยอยใส่น้ำตาล แล้วตีต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าไข่จะขึ้นฟูมีลักษณะเป็นเนื้อครีมสีขาวเนียนละเอียดจนตั้งยอดอ่อนสูงสุด ก่อนถึงยอดแข็ง (Firm Peak)
  9. นำเมอแรงค์ที่ได้ แบ่งใส่ 3 ส่วน ผสมลงในเนื้อแบทเทอร์ และตะล่อมให้เข้ากัน
  10. เมื่อผสมเข้ากันดีแล้ว ให้ตะล่อมต่ออีก 10-15 ครั้ง ให้เนื้อเนียนยิ่งขึ้น
  11. เทแบทเทอร์ลงพิมพ์ โดยเทลงอย่างช้าๆ จะช่วยตัดฟองอากาศใหญ่ๆได้
  12. จากนั้นกระแทกพิมพ์ไล่ฟองอากาศ จะใช้ไม้จิ้มฟันช่วยตัดฟองอากาศด้วยก็ได้นะคะ แต่วันนี้ในคลิปติ๊กกระแทกพิมพ์อย่างเดียว
  13. นำเข้าอบ โดยปรับไฟเป็นอุณหภูมิ 180 องศา อบประมาณ 15-20 นาที ส่วนตัวติ๊กใช้เวลาอบ 18 นาที
  14. เมื่ออบเสร็จแล้วให้คว่ำเค้กลงบนตะแกรง พักทิ้งเอาไว้เลยค่ะ จนกว่าจะราดซอสค่อยหงายเค้กขึ้นมา
มาทำซอสท๊อฟฟี่กันต่อค่ะ

สูตรซอสท๊อฟฟี่
  1. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  2. วิปปิ้งครีม 100 กรัม (ติ๊กใช้เป็นแดรี่ครีมค่ะ)
  3. นมสด 50 กรัม
  4. เนยเค็ม 50 กรัม
  5. แป้งเค้ก 2 ช้อนโต๊ะ
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  7. กาแฟผง 1 ช้อนชา (ไม่จำเป็นแล้วแต่ชอบค่ะ)
  8. อัลมอนด์อบสุก 150 กรัม (ใช้ถั่วอะไรก็ได้ทดแทนกันนะคะ)
วิธีทำ
  1. นำน้ำตาลใส่กระทะ นำไปตั้งเตาใช้ไฟแรงปานกลาง พักทิ้งไว้โดยไม่ต้องคน จนกว่าน้ำตาลจะละลายเป็นคาราเมล
  2. เมื่อน้ำตาลละลายเป็นคาราเมลแล้ว คนให้ทั่วให้น้ำตาลละลายจนหมด ปิดเตาทันที ระวังคาราเมลจะไหม้จนเกินไป
  3. มาเตรียมส่วนผสมตัวซอสต่อ นำวิปปิ้งครีม นมสด และเนยเค็ม ใส่ลงในชามผสมนำไปเวฟให้ร้อนจนเนยอ่อนตัว ประมาณ 1 นาที แล้วคนให้เข้ากัน
  4. จากนั้นใส่ผงกาแฟ เกลือ แป้งเค้ก คนให้เข้ากันจนไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง
  5. เทส่วนผสมวิปปิ้งครีมลงไปในคาราเมล โดยให้แบ่งเท 1/3 ลงไปผสมก่อน รีบคนให้ไว คนให้เข้ากันดี แล้วทะยอยเทส่วนที่เหลือโดยแบ่งใส่ 2 รอบ ผสมจนเข้ากันดี *ขั้นตอนนี้ถ้าใช้เวลานาน ไม่ได้เตรียมส่วนผสมเอาไว้ อาจทำให้คาราเมลเซ็ตตัวแข็งให้นำไปตั้งไฟคาราเมลจะละลายเหมือนเดิม แล้วก็เทวิปปิ้งครีมลงไป ถ้าคาราเมลร้อนมากระวังวิปกระเด็นใส่*
  6. นำไปตั้งเตา ใช้ไฟปานกลางค่อนไปทางแรงกวนซอสจนข้น เนื้อซอสจะข้นเป็นรอยตะกร้อและเห็นก้นกระทะอย่างชัดเจน ให้ปิดเตา
  7. ใส่อัลมอนด์ลงไปคลุกให้พอเข้ากัน พักไว้ก่อน
  8. นำเค้กที่เราพักทิ้งไว้ หงายเค้กขึ้นมา แล้วเทซอสท๊อฟฟี่ลงไป ปาดซอสให้กระจายตัวให้ทั่วเค้ก
  9. จากนั้นนำเข้าอบอีกครั้งโดยใช้วิธีรองน้ำ นำน้ำร้อนเทใส่แก้วลงไปครึ่งแก้ว แล้ววางในเตา ส่วนเค้กติ๊กวางใกล้กับขดลวดด้านบน อบด้วยไฟบนอย่างเดียวที่อุณหภูมิ 200 องศา เป็นเวลา 5 นาที
  10. เมื่ออบเสร็จแล้ว ตัวซอสจะแห้งและมีสีเข้มขึ้น พักทิ้งให้ซอสเซ็ตตัวแล้วค่อยตัด ติ๊กนำไปใส่ตู้เย็น 1 ชั่วโมงค่ะ
  11. เมื่อซอสเซ็ตตัวดีแล้ว ก็นำเค้กออกจากพิมพ์ ให้แซะขอบด้านข้างเค้ก แล้วนำกระดาษรองอบวางและแผ่นรองเค้กวางด้านบนเค้ก คว่ำเค้กแล้วยกพิมพ์ออก
  12. ดึงกระดาษรองอบออก แล้วทำการตัดเค้กตามขนาดที่ต้องการ ตัดเสร็จแล้วก็ค่อยจับเค้กหงายหน้าขึ้นมาค่ะ
     ท๊อฟฟี่เค้กหอมๆ พร้อมเสิร์ฟ ตัวเค้กนุ่มไม่ต่างจากสูตรเค้กอื่นๆ ที่ติ๊กเคยลงไว้นะคะ ทานกับซอสท๊อฟฟี่คาราเมลหอมๆ และอัลมอนด์กรุบกรอบ เป็นอะไรที่ฟินมาก




วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Cranberry Yogurt Ogura Cake

     สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ติ๊กจะชวนทุกคนมาทำ Cranberry Yogurt Ogura Cake ค่ะ  ชื่อขนมแลดูออกจะญี่ปุ่นเสียเหลือเกิน แต่ที่มาของชื่อนี้ ติ๊กก็ไม่แน่ใจนะคะว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร ใครเป็นคนคิดชื่อ ซึ่งติ๊กก็พยายามหาข้อมูลบน GG ก็ยังไม่พบคำตอบที่ชัดเจนเลย

     แต่ที่พอจะเข้าใจได้ก็คือ Ogura Cake จะคล้ายกับชิฟฟ่อนเค้ก ลักษณะเนื้อเค้กมีความนุ่มเด้งแบบฟองน้ำ ต่างกันตรงที่ว่า Ogura Cake จะไม่ใช้ผงฟู ใช้เพียงแต่ไข่ที่จะช่วยให้เค้กฟูนุ่ม และมักจะอบด้วยวิธีรองน้ำ เพื่อให้เค้กที่อบเสร็จ มีความชุ่มชื้น นุ่มเนียน เนื้อไม่แห้ง

     จะว่าไปก็คล้ายกับสูตร Sponge Cake (Tangmian Method) ที่ติ๊กเคยโพสในบล๊อกเอาไว้เมื่อไม่นาน อันที่จริงแล้ว Sponge Cake สูตรนั้น ติ๊กคิดว่าก็อาจจะเรียก Ogura Sponge Cake ก็ได้นะ เพราะไม่ใส่ผงฟู แล้วอบรองน้ำด้วย เพียงแต่คราวก่อนที่ติ๊กทำไป เป็นสูตรที่ใช้เนย และวิธีการทำแบบ Tangmian คือทำให้แป้งสุกก่อนด้วยการผัดแป้งกับเนย

     เอาล่ะคะ สรุปว่าติ๊กเองก็ไม่ทราบความเป็นมา และหลักการการเรียกชื่อขนมนี้ชัดเจนนัก หากเรียกผิด เรียกถูกอย่างไร แนะนำติ๊กกันได้นะคะ

     มาเข้าเรื่องขนมกันดีกว่าค่ะ Cranberry Yogurt Ogura Cake ติ๊กใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว สูตรนี้ติ๊กไม่ได้อบรองน้ำตามที่เขานิยมกันนะคะ เพราะติ๊กเคยได้ทดลองอบรองน้ำไป รู้สึกว่าไม่จำเป็นเท่าไร เนื้อเค้กแทบไม่ได้ต่างกับการอบปกติ เพราะพิมพ์สี่เหลี่ยมทำให้เค้กสุกไว แม้ไม่ได้รองน้ำเนื้อเค้กก็ไม่แห้งเลยค่ะ แต่มีวิธีการอบโดยจะวอร์มเตาที่อุณหภูมิต่ำก่อน แล้วพอใส่เค้กเข้าอบค่อยเร่งไฟค่ะ เนื้อเค้กออกมาสวยงาม นุ่มเนียนทีเดียว



Cranberry Yogurt Ogura Cake
พิมพ์ที่ใช้: สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว หรือ วงกลมขนาด 2 ปอนด์

ส่วนผสมที่ 1
  1. แป้งเค้ก 55 กรัม
  2. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  3. ไข่แดง 4 ฟอง (เบอร์ 2)
  4. ไข่ทั้งฟอง 1 ฟอง (เบอร์ 2)
  5. น้ำตาลทราย 25 กรัม
  6. โยเกิร์ต 60 กรัม (แนะนำกรีกโยเกิร์ต)
  7. น้ำมัน 35 กรัม (ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวัน)
  8. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
  9. ส้มสกัด 1 ช้อนชา (ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้)
ส่วนผสมที่ 2
  1. ไข่ขาว 4 ฟอง
  2. น้ำตาลป่น 60 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา (หรือน้ำมะนาวทดแทนได้)
ส่วนผสมที่ 3 (แล้วแต่ชอบนะคะ)
  1. แครนเบอรี่อบแห้ง 35 กรัม (หั่นหยาบ)
  2. แป้งเค้ก 2 กรัม
***แครนเบอรี่อบแห้ง ที่ติ๊กใช้ค่อนข้างชุ่มชื้นและฉ่ำอยู่มาก ติ๊กเลยไม่ได้แช่น้ำนะคะ นำมาใช้อบเค้กก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเค้กแห้งค่ะ***

วิธีทำ

  1. วอร์มเตาอบอุณหภูมิ 140 องศา ไฟบนล่าง
  2. นำแครนเบอรี่มาหั่นหยาบ แล้วคลุกแป้งส่วนที่ 3 เตรียมเอาไว้
  3. นำไข่แดง และไข่ 1 ฟอง มาผสมกัน และใส่น้ำตาลทรายลงไป ตีไข่ให้เนื้อเนียน  มีลักษณะเป็นสีครีมเหลืองอ่อนๆ
  4. ใส่โยเกิร์ต และน้ำมันลงไป ผสมให้เข้ากันดี หากโยเกิร์ตที่เราใช้เนื้อหยาบ ควรเอาไปกรองด้วยกระชอนถี่ก่อนนำมาใช้นะคะ ในคลิปจะเห็นว่าโยเกิร์ตเนื้อจะเนียนมาก เพราะนำไปกรองก่อนแล้ว
  5. ใส่วนิลลาสกัด ส้มสกัด ลงไปผสมให้เข้ากันดี
  6. ร่อนแป้งกับเกลือลงไปในโถผสม ตะล่อมให้เข้ากัน จนเนื้อเนียน ไม่เห็นเม็ดแป้ง แล้วก็พักไว้ก่อนค่ะ
  7. เตรียมทำเมอแรงค์ นำไข่ขาวตีด้วยสปีด 2 ตีจนขึ้นเป็นฟองหยาบ ให้ใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป แล้วตีต่อไปจนไข่ขึ้นเป็นฟองละเอียด ให้ทะยอยใส่น้ำตาลป่น แบ่งใส่ 3 รอบ แล้วตีไปเรื่อยๆ จนไข่ขาวเป็นครีมเนียน เห็นเป็นรอยตะกร้อ แล้วเช็คดูค่ะว่าตั้งยอดอ่อนดีหรือไม่ ยอดที่เราจะใช้คือ Firm Peak ต้องตั้งยอดอ่อนจนถึงจุดสูงสุด ก่อนยอดจะแข็งค่ะ
  8. จากนั้นนำเมอแรงค์ที่ได้ แบ่งใส่แบทเทอร์ส่วนไข่แดงที่เตรียมไว้ตอนแรก แบ่งใส่ 3 รอบ ตะล่อมให้เข้ากันดี
  9. เมื่อผสมดีแล้ว ให้กระแทกโถผสมสัก 3 ครั้ง ไล่ฟองอากาศ แล้วค่อยใส่แครนเบอรี่ลงไป และตะล่อมอย่างเบามือค่ะ ให้กระแทกโถผสมไล่ฟองอากาศอีกรอบ แล้วตะล่อมตัดฟองอากาศอย่างเบามือ สัก 3-5 รอบก็พอค่ะ
  10. จากนั้นก็เทใส่พิมพ์ พิมพ์ที่ติ๊กใช้เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 8x8 นิ้ว รองกระดาษรองอบ ไม่ต้องทาไขมันใดๆ เทลงไปเบาๆ ช้าๆ เพื่อช่วยตัดฟองอากาศได้อีก 
  11. ถ้ามีฟองอากาศผุดขึ้นมา เอาไม้จิ้มฟันจิ้มๆ และเขย่าๆเบาๆ ให้หน้าเค้กเรียบ อย่าเขย่าแรง และนานนะคะ แครนเบอรี่จะร่วงลงก้นพิมพ์เยอะ เพราะติ๊กห่วงแต่หน้าเค้กจะไม่เรียบ กลัวอบออกมาไม่สวยเค้กเป็นรูฟอง เลยเขย่าๆไปหลายรอบ แครนเบอรี่เกือบจมหมดเลย
  12. หลังจากนั้น ก็เอาเข้าอบเลยค่ะ ใช้ไฟบนล่าง แล้วปรับอุณหภูมิเป็น 180 องศา อบประมาณ 20-25 นาที
  13. นำออกจากเตาอบ กระแทกพิมพ์ 3 ครั้ง แล้วแซะออกจากพิมพ์เลยค่ะ ติ๊กไม่ได้รอเค้กหลุดร่อน ติ๊กว่ารอไม่รอก็ไม่พบความแตกต่าง เอาออกเลยดีกว่า
  14. คว่ำเค้กออกจากพิมพ์ และดึงกระดาษรองอบออก แล้วพลิกกลับด้านอีกครั้ง พักเค้กให้คลายร้อนลง แล้วตัดชิ้นได้เลย
เค้กนุ๊มนุ่ม รับกันกี่ชิ้นดีค่ะ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ควรลองทำค่ะ



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ขนมปังลูกเกด

     สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ติ๊กจะมาทำขนมปังสูตรผสม 2 ขั้นตอนค่ะ สูตรที่ติ๊กนำมาใช้ เอามาจากบล๊อกเกอร์คุณฉวี โดยสูตรต้นฉบับเป็นของ Mis Chucherias ชาวสเปนค่ะ

     การทำขนมปังโดยผสม 2 ขั้นตอน ก็คือการที่เราหมักแป้งสปองจ์ (Starter) ไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาผสมทำแป้งโดว์ วิธีนี้เราจะได้ขนมปังที่นุ่มกว่าผสมขั้นตอนเดียวค่ะ ความนุ่มของสูตรนี้จะนุ่มมากกว่าสูตรขนมปังนมสดกับสูตรขนมปังนวดมือ ที่ติ๊กเคยลงเอาไว้นะคะ

     สูตรนี้ติ๊กลดสูตรลง 10% เพื่อให้ได้แป้งโดว์ในปริมาตรที่พอดีกับพิมพ์โลฟ 12 นิ้ว ติ๊กเคยทำเต็มสูตรแล้วพบว่าปริมาตรเยอะเกินไป พอวางในพิมพ์ทำให้แป้งโดว์ด้านล่างขยายตัวได้ไม่ดีพอ แล้วขนมปังที่ได้ก็สูงมากทำให้เปลือกขนมปังหนาและสีเข้ม เพราะอยู่ใกล้ไฟด้านบน


     เอาละค่ะเรามาเริ่มจากการทำแป้งสปองจ์ หรือ Starter กันก่อนเลยนะคะ

ส่วนผสม Starter
  1. แป้งขนมปัง 135 กรัม
  2. น้ำเปล่า 135 กรัม
  3. ยีสต์แห้งสำเร็จรูป 1 กรัม (ติ๊กใช้ยีสต์หวานยี่ห้อ Self-Instant เพราะที่บ้านจะซื้อแต่ยีสต์หวาน ติ๊กใช้ทำทั้งขนมปังจืดและขนมปังหวานเลยค่ะ) *สามารถใช้ยีสต์ธรรมดา ยีสต์จืด แทนได้ โดยระยะเวลาหมักเหมือนเดิม
วิธีทำ
  1. ร่อนแป้งขนมปังลงโถผสม ใส่ยีสต์ และน้ำเปล่าลงไป ผสมคนให้เข้ากันดี แป้ง Starter ที่ได้จะมีลักษณะเปียกแฉะ
  2. นำพลาสติกถนอมอาหารปิดคลุมภาชนะให้มิดชิด ไม่ให้อากาศเข้า หมักแป้งในอุณหภูมิปกติ 1 ชั่วโมง
  3. หลังจากหมักแป้ง Starter ครบ 1 ชั่วโมงแล้ว ให้นำไปหมักต่อในตู้เย็นนานถึง 16 ชั่วโมง จึงจะนำมาใช้ 
     พอหมักแป้ง Starter ได้ที่แล้วนะคะ ติ๊กก็มาเตรียมลูกเกดก่อนทำแป้งโดว์ค่ะ
  1. ลูกเกด 50 กรัม (จะใช้มากกว่านี้ก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้จ้า)
  2. น้ำอุ่นจัด 100 กรัม
  3. เหล้ารัม 1-2 ช้อนชา (ไม่จำเป็น)
     เริ่มแรกแช่ลูกเกดในน้ำก่อนนะคะ ติ๊กใช้น้ำอุ่นจัดเทลงไปให้ท่วมลูกเกด (ติ๊กไม่ได้ตวงหรอกนะคะ แค่เทลงไปให้ท่วมลูกเกดก็พอ) และใส่เหล้ารัมลงไปเล็กน้อย ถ้าใครไม่ชอบเหล้ารัมก็ไม่ต้องใส่ค่ะ ติ๊กแช่ลูกเกดประมาณ 20 นาที ลูกเกดก็นิ่มแล้วค่ะ แล้วก็เทน้ำออก บีบลูกเกดให้น้ำออกมาเสียหน่อยนะคะ ไม่ควรให้ลูกเกดอมน้ำมากไป เวลาเอามาใช้ทำขนมปังจะทำให้แฉะได้ จากนั้นติ๊กก็เอากระดาษทิชชู่มาซับน้ำผิวลูกเกดออกนึดนึงค่ะ ไม่ให้มันเปียกเกินไป

     จากนั้นก็มาทำแป้งโดว์กันต่อเลยค่ะ
  1. แป้งขนมปัง 225 กรัม
  2. แป้งเค้ก 90 กรัม
  3. ยีสต์แห้งสำเร็จรูป 5 กรัม (ติ๊กใช้ยีสต์หวาน Self-Instant) ยีสต์จืด ยีสธรรมดาก็ทำได้จ้า ระยะเวลาการขึ้นฟูสังเกตุจากแป้งโดว์เป็นหลัก
  4. นมผง 12 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 60 กรัม
  6. เกลือ 5 กรัม
  7. ไข่ไก่ 1 ฟอง (เบอร์ 2)
  8. น้ำเปล่า 60 กรัม (หรือใช้นมสดแทนได้ ถ้าต้องการให้แป้งชุ่มชื้นขึ้น)
  9. เนยเค็ม 45 กรัม (อุณหภูมิห้อง)
  10. แป้ง Starter ที่เตรียมไว้ขั้นตอนแรก
     *สูตรของต้นฉบับจะใส่ยีสต์น้อยมากๆ เลยค่ะ ใส่แค่ 2 กรัมเอง แต่บล๊อกเกอร์คุณฉวีใส่ยีสต์ไปตั้ง 12 กรัมแน่ะ ซึ่งโดยส่วนตัวติ๊กไม่เคยใช้ยีสต์ในปริมาณมากขนาดนี้ในการทำขนมปัง เลยลดสูตรลงมาตามที่ติ๊กเคยใช้ค่ะ และติ๊กก็มีเพิ่มน้ำตาลในสูตร เพราะเป็นคนชอบขนมปังที่รสติดหวานนิดนึงค่ะ *

วิธีทำขนมปัง
  1. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศา
  2. ผสมแป้งเค้ก กับแป้งขนมปังให้เข้ากัน แล้วนำมาร่อนใส่โถผสม จากนั้นก็ใส่ยีสต์ลงไป แล้วทำหลุมตรงกลางเอาไว้
  3. เตรียมส่วนผสมของเหลว ผสมน้ำเปล่า นมผง น้ำตาลทราย เกลือ ไข่ไก่ คนให้เข้ากัน แล้วเทลงไปในโถผสมแป้ง
  4. จากนั้นใส่แป้ง Starter ลงไป แล้วนำไปนวดเลยค่ะ ติ๊กใช้เครื่องนวดนะคะ หากใครจะนวดมือก็ทำได้จ้า วิธีการนวดมือดูจากสูตรขนมปังนวดมือที่ติ๊กเคยลงเอาไว้ตามลิงค์นี้ สูตรขนมปังนวดมือ ติ๊กใช้แค่สปีด 2 ในการนวดเป็นหลัก และมีใช้สปีด 3 บ้างในบางช่วงที่จำเป็นต้องใช้แรงเหวี่ยง ให้แป้งยึดติดกับตะขอตี 
  5. เดินเครื่องนวดด้วยสปีด 2 ไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเข้ากันดี จับตัวเป็นก้อนเดียว แล้วก็ใส่เนยเค็มลงไปนวดต่อ จนกว่าแป้งจะเนียนนุ่ม ไม่ติดมือ ติ๊กไม่ได้จับเวลานะคะ ติ๊กใช้เครื่องนวดไปเรื่อยๆ จนแป้งร่อนไม่ติดก้นโถผสม
  6. จากนั้นก็ใส่ลูกเกดลงไปนวดให้เข้ากันดี หรือจะใส่ตอนขึ้นรูป ค่อยโรยบนแป้งโดว์ก็ได้นะคะ แล้วแต่ชอบ
  7. เมื่อเข้ากันดีแล้ว ติ๊กก็นำออกจากโถผสม นำมานวดๆ คลึงๆ ต่อเล็กน้อย และก็จับฟาดกับโต๊ะ จนแป้งโดว์นุ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ก็เช็คแป้งโดว์ดูว่าสามารถขึงเป็นฟิล์มบางๆได้หรือไม่
  8. จากนั้นก็จัดทรงแป้งโดว์ให้เป็นก้อนกลม และพักแป้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ให้แป้งโดว์ขึ้นฟู 2-3 เท่า ก็ใช้ได้ค่ะ ควรนำพลาสติก หรือผ้าเปียก ปิดภาชนะโดว์ให้มิดชิด ไม่ให้อากาศเข้าด้วยนะคะ 
  9. เมื่อแป้งโดว์ขึ้นได้ที่แล้ว เราก็ชกแป้งไล่ลมออก แล้วนำมาขึ้นรูปค่ะ วันนี้ติ๊กขึ้นรูปเป็นขนมปังปอนด์แบบหัวกะโหลก ม้วนเป็นโรลแบบยาวค่ะ
  10. นำแป้งจับยืดกางออกให้เป็นสี่เหลี่ยม ความกว้างให้ได้เท่ากับความยาวของพิมพ์ พับขอบแป้งด้านซ้ายขวาเข้ามา แล้วรีดให้เรียบเสมอเท่าๆกัน แล้วม้วนแป้งขึ้นมา นำมาวางลงในพิมพ์ (ทาไขมันบางๆที่พิมพ์ไว้ด้วยนะคะ)
  11. พักแป้งโดว์ให้ขึ้นเกือบเต็มพิมพ์ ประมาณ 80-90% ของพิมพ์ ติ๊กใช้เวลาพักไปราวๆ 40 นาที
  12. ทา Egg yolk ที่ผิวขนมปัง (ไข่แดงผสมกับนม หรือน้ำ อัตราส่วน 1:1 หรือ 1:2 ก็แล้วแต่ชอบค่ะ หรือจะไม่ทาก็ได้เช่นกัน)
  13. จากนั้นนำเข้าอบด้วยไฟล่าง 160 องศา เป็นเวลา 40-45 นาที
  14. เมื่ออบเสร็จแล้ว นำออกจากพิมพ์เลยค่ะ มาพักทิ้งไว้บนตะแกรง ถ้าอยากให้เปลือกขนมปังเงาสวย เราก็ทาเนยสด แล้วก็พักขนมปังให้คลายร้อนลงเสียหน่อยแล้วค่อยตัดชิ้น
     ขนมปังนุ่มๆ มาเสิร์ฟแล้วจ้า สูตรนี้นุ่มอร่อยทีเดียว ขนมปังสูตรนี้เก็บผ่านไป 3 วัน ก็ยังนุ่ม แต่ติ๊กจะใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิทไม่ให้อากาศเข้า แล้วก็วางไว้ในอุณหภูมิห้องปกตินะคะ วันที่ 3 ถ้าทานไม่หมด ติ๊กก็ย้ายไปเก็บในตู้เย็นแทนค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเก็บในที่เย็นขนมปังจะกระด้างขึ้น ก่อนทานติ๊กก็นำเข้าเวฟ ไม่ก็จับลงเครื่องปิ้งขนมปังค่ะ ขนมปังก็นุ่มอร่อยเหมือนเดิม




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Super Soft Sponge Cake

     สวัสดีทุกคนค่า เมนูวันนี้ติ๊กจะมาลองทำ Sponge Cake "Tang mian method" เค้กนุ๊มนุ่ม ไม่ต้องพึ่งสารเสริม SP และผงฟูเลย

     Tang mian method เป็นเทคนิคการทำเค้ก โดยทำให้แป้งสุกก่อนนั่นเอง โดยนำแป้งไปผัดกับเนยละลายที่ร้อนจัด จนแป้งนุ่มเนียน วิธีการนี้จะทำให้เค้กมีความหอมของกลิ่นเนย และเนื้อเค้กมีความนุ่มเนียนมาก เนื่องจากการผัดแป้งกับเนยจะไม่ทำให้เกิดกลูเตนนั่นเอง เพราะแป้งถูกเคลือบด้วยไขมัน จึงทำให้เค้กสูตรนี้มีความนุ่มมากทีเดียว (หลักการที่เขียนมานั้น เอามาจากบล๊อกเกอร์ KitchenTigress) และที่สำคัญเค้กไม่เป็นตับ เป็นไตได้ง่าย แต่อาจจะเป็นโรคยุบหนอ ฟีบหนอแทนได้ เพราะสูตรที่ติ๊กจะทำเป็นการผสมแยกไข่ขาวจ้า

     สูตรต้นฉบับเป็นของ Baking with mi สูตรของเขาจะไม่ใส่ผงฟู แต่จะใช้ไข่เป็นตัวช่วยทำให้ขึ้นฟูเป็นหลัก และอบด้วยวิธีการรองน้ำ ทำให้เค้กสูตรนี้นุ่มเนียนและชุ่มชื้น เป็นเค้กที่ติ๊กหลงรักมากเลยทีเดียว หลงรักแบบว่าถ้าต้องทำเค้กอีก คงใช้สูตรนี้เป็นหลักในการดัดแปลงทำขนมอื่นๆ

     แต่ทว่า... หากเมื่อใดเจอสูตรที่ดีกว่า ติ๊กก็พร้อมจะเปลี่ยนใจทันทีเหมือนกัน แต่เฉพาะเรื่องสูตรขนมน้า ถ้าเป็นเรื่องความรักติ๊กเป็นคนหนักแน่นมั่นคง (แหม...เริ่มนอกเรื่องไปไหนเสียแล้วเรา )



เอาละค่ะมาเข้าเรื่องสูตรกันเลย สูตรเดิม Baking with mi สัดส่วนจะเหมาะสำหรับพิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว แต่ติ๊กนำมาดัดแปลงลดทอนลงเป็นสูตรสำหรับ 2 ปอนด์ ใช้พิมพ์วงกลมขนาด 7 นิ้ว โดยมีส่วนผสมดังนี้

ส่วนผสมที่ 1
  1. เนยสดจืด 50 กรัม
  2. แป้งเค้ก 65 กรัม
ส่วนผสมที่ 2
  1. นมสด 65 กรัม
  2. ไข่แดง 5 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  3. ไข่ขาว 1/2 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  4. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
  5. ส้มสกัด 1 ช้อนชา (ไม่จำเป็นแล้วแต่ชอบ)
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 3 
  1. ไข่ขาว 4 + 1/2 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา (หรือน้ำมะนาวทดแทนกันได้)
วิธีทำ
  1. เตรียมพิมพ์วงกลม 2 ปอนด์ วางกระดาษรองอบที่ก้นพิมพ์ ไม่ต้องทาไขมันใดๆ
  2. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศา ใช้ไฟบนล่าง
  3. ทำการร่อนแป้งเค้กให้เรียบร้อย เตรียมเอาไว้ก่อน
  4. นำเนยสดใส่หม้อ นำไปต้มจนเดือดและปิดไฟ แล้วนำลงจากเตาทันที อย่าวางบนเตานะคะ
  5. คนเนยละลายให้ความร้อนกระจายตัวสัก 5-6 รอบ และใส่แป้งเค้กที่เราร่อนเอาไว้แล้วลงไป 
  6. ผสมแป้งกับเนยให้เข้ากัน จนเนื้อแป้งมีความนุ่มเนียน ขั้นตอนนี้ใช้สปาตูล่าจะผสมได้ดีกว่า
  7. เทนมสดใส่ลงไปในแป้ง เพื่อลดอุณหภูมิแป้งลง ผสมให้เข้ากันดี
  8. เตรียมส่วนผสมไข่แดง ไข่ขาว วนิลลา ส้มสกัด เกลือ ตีให้เข้ากันก่อน แล้วค่อยเทลงในโถผสมแป้ง ติ๊กได้เปลี่ยนเป็นใช้ตะกร้อมือในการผสมแทนจะผสมได้ง่ายขึ้น เมื่อผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้วให้พักแบทเทอร์เอาไว้ก่อน
  9. เตรียมทำเมอแรงค์ สูตรนี้ติ๊กใช้สปีด 2 โดยตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองหยาบ และใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป ตีต่อจนไข่ขึ้นเป็นฟองละเอียด ให้ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปจนหมด
  10. ตีไปเรื่อยๆ จนเป็นเนื้อครีมละเอียดเป็นรอยตะกร้อ ให้หยุดตีแล้วเช็คดูว่าตั้งยอดอ่อนดีหรือไม่ ถ้าลักษณะครีมยังดูเหลว ยังไม่ทรงตัวดี ให้ตีต่ออีกสักหน่อยให้ได้ยอดที่ Firm peak *ถ้าเมอแรงค์ที่ได้ไม่แข็งแรงพอ เค้กที่อบสุกแล้วจะยุบตัวลง*
  11. เมื่อได้เมอแรงค์ตามที่ต้องการ ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน นำไปผสมกับส่วนผสมแป้ง ตะล่อมให้เข้ากันดี เมื่อเข้ากันดีแล้วให้ตะล่อมต่ออีกสัก 10-15 รอบ เพื่อให้ส่วนผสมเนียนยิ่งขึ้น
  12. เทแบทเทอร์ลงพิมพ์ ให้เทลงเบาๆ ค่อยๆเท จะช่วยตัดฟองอากาศใหญ่ๆได้ดี
  13. กระแทกพิมพ์ 5 ครั้ง ไล่ฟองอากาศ ติ๊กได้ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มวนๆในเนื้อแบทเทอร์ เพื่อตัดฟองอากาศอีกรอบ (สามารถใช้ส้อม ไม้จิ้มฟันแทนก็ได้ค่ะ) และจากนั้นก็กระแทกพิมพ์อีกรอบ
  14. เตรียมถาดรองอบ เทน้ำร้อนใส่ลงไปถาด ถาดที่ติ๊กใช้เป็นถาดมากับเตาอบขนาด 12x14 นิ้ว ติ๊กเทน้ำร้อนสูง 0.5 ซม. ตามสูตรต้นฉบับติ๊กเห็นเขาใช้ถาดประมาณ 9x9 นิ้ว เทน้ำร้อนสูง 1 ซม. ค่ะ
  15. จากนั้นนำเข้าเตาอบ ใช้ไฟบนล่างด้วยอุณหภูมิ 170 องศา อบเป็นเวลา 15 นาที แล้วลดระดับไฟลงเหลือ 150 องศา อบต่ออีก 30 นาที *ในช่วง 20 นาทีหลัง หน้าเค้กติ๊กเห็นรอยปริแตกเล็กน้อย ติ๊กเปิดฝาเตาให้ความร้อนระบายออกมาแล้วปิดฝาทันที จากนั้นเปลี่ยนอบเป็นไฟบนอย่างเดียวด้วยอุณหภูมิเดิม จนเค้กสุก *ติ๊กไม่ได้ใช้ไฟล่างเหมือนทุกที เพราะยิ่งใช้ไฟล่างเหมือนยิ่งดันเนื้อแบทเทอร์ปะทุขึ้นมา เลยใช้ไฟบนแทนในการแก้ปัญหา แล้วพบว่าสามารถทำให้เค้กด้านบนสุกได้ดี โดยหน้าเค้กไม่ปริแตกเพิ่มแต่อย่างใดค่ะ
  16. เมื่ออบสุกดีแล้ว นำเค้กออกจากเตา พักทิ้งเค้กไว้ในพิมพ์สักครู่ จนกว่าขอบเค้กจะเริ่มร่อนหลุดออกจากพิมพ์ ให้ทำการแซะขอบพิมพ์โดยรอบ และคว่ำเค้ก แต่ถ้าพักเค้กไว้จน 10 นาทีก็แล้ว ขอบเค้กไม่ร่อนออกก็ให้แซะออกนะคะ
  17. ดึงกระดาษรองอบที่ก้นเค้กออก และพลิกด้านหน้าเค้กขึ้นมา อย่าคว่ำนานหน้าเค้กจะติดกระดาษได้ เพราะเค้กมีความชื้นอยู่
     เค้กที่อบได้จะมีความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ ถ้าเค้กเปียกแฉะชุ่มน้ำ แสดงว่าใส่น้ำรองอบเยอะเกินไป หรือไม่ก็น้ำซึมเข้าไปในพิมพ์ กรณีที่อบโดยวางพิมพ์ในน้ำควรนำฟอยด์ห่อหุ้มพิมพ์ให้มิดชิด หรือวางบนผ้าขนหนูในการรองอบ

     เค้กชนิดนี้สามารถตัดเสิร์ฟทานได้ทันที ตัดทานเลยเค้กจะชุ่มชื้น นุ่มเนียนละลายในปาก อร่อยมากทีเดียวค่ะ

     ในการเก็บเค้ก ควรพักทิ้งเค้กจนเย็นตัวลง ค่อยนำไปเก็บลงในภาชนะให้มิดชิด และควรเก็บในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

Preserved Pineapple

สับปะรดกวน          ด้วยที่ติ๊กอยากจะทำพายสับปะรด ก็เลยจะทำสับปะรดกวนเองเสียหน่อย เพราะไม่ได้ทำยาก แต่จะเสียเวลามากกว่า ติ๊กใช้เวลาพอคว...