วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขนมไข่

ขนมไข่โบราณ


      สวัสดีทุกคนค่ะ เมนูวันหยุดวีคนี้ ติ๊กชวนมาทำขนมไข่โบราณค่ะ เป็นขนมที่ทำง่าย มีส่วนผสมที่ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เราตีไข่กับน้ำตาลให้ฟูเต็มที่ และใส่แป้งลงไปก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ แต่วันนี้ติ๊กขอประยุกต์การอบแบบสมัยใหม่ค่ะ โดยขอพึ่งสารเสริม SP เป็นตัวช่วยในการตีไข่ให้ขึ้นฟู และทำให้เนื้อขนมนุ่มขึ้นด้วยค่ะ ไม่ต้องเกริ่นกันเยอะเนาะ เรามาเริ่มทำกันเลยดีกว่า

สูตรขนมไข่
***อบได้ 10-12 ชิ้น ด้วยพิมพ์มัฟฟิน***
  1. แป้งอเนกประสงค์ 35 กรัม
  2. เบกกิ้งโซดา 1 หยิบมือ (หรือ 1/8 ช้อนชา)
  3. ไข่เป็ด 2 ฟอง
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
  6. วนิลลา 1 ช้อนชา
  7. สารเสริม SP 3 กรัม 
วิธีทำขนมไข่
  1. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ไฟบนล่างค่ะ
  2. ร่อนแป้ง และเบกกิ้งโซดา แล้วพักไว้ก่อน
  3. ตีไข่เป็ด โดยปาดสารเสริม SP ไว้ที่ปลายตะกร้อ ตีด้วยสปีดสูงสุดจนกระทั่งไข่เป็นฟอง และเริ่มเป็นครีม
  4. จากนั้นทะยอยใส่น้ำตาลลงไปจนหมด ตีจนไข่ขึ้นฟูเต็มที่ โดยไข่จะมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้น ติ๊กใช้เวลารวมข้อ 3 ด้วย ประมาณ 10 นาที ระหว่างตีให้ปาดด้านข้างโถด้วยค่ะ
  5. จากนั้นใส่น้ำมะนาวลงไป ตีด้วยสปีดสูงสุดให้เข้ากัน และเติมวนิลลา ตีต่อให้เพียงเข้ากันเท่านั้น แล้วหยุดตี แล้วปาดด้านข้างและก้นโถให้เข้ากัน
  6. ใส่แป้งและเบกกิ้งโซดาที่ร่อนไว้แล้ว ทะยอยใส่ลงไป โดยปรับสปีดตีความเร็วปานกลาง ตีเพียงให้แป้งเข้ากันก็พอค่ะ ระหว่างตีก็ปาดด้านข้างด้วยนะคะ
  7. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว หยอดใส่พิมพ์ที่ต้องการ (ทาเนยขาวที่พิมพ์ก่อนนะคะ)  ติ๊กใช้พิมพ์มัฟฟินในการอบ แบ่งใส่เท่าๆกัน 12 ชิ้นค่ะ (จริงๆ แบ่ง 10 ชิ้นน่าจะกำลังดีมากกว่าค่ะ)
  8. อบ 180 องศา ไฟบนล่าง 15-20 นาที 
      ติ๊กวางถาดที่ชั้น 3 ในการอบ (เตาติ๊กมี 5 ชั้น) และระหว่างการอบ เมื่อขนมไข่สุกผิวขนมเริ่มเหลือง ติ๊กกลับด้านถาดเพื่อที่ให้หน้าขนมมีสีน้ำตาลเท่าๆกัน ติ๊กใช้เวลาอบรวมทั้งหมด 17 นาที ก็จะได้ขนมไข่หน้ากรอบค่ะ แต่ทว่าขอบขนมออกจะคล้ำเกือบไหม้ค่ะ

      ถ้าใครชอบขนมไข่นิ่มๆนะคะ ติ๊กว่าอบไม่เกิน 12 นาที ก็น่าจะพอค่ะ แต่ผิวหน้าไม่แห้งกรอบ เป็นหน้านุ่มๆเหมือนสปันจ์เค้กเลยค่ะ เก็บข้ามวันก็ยังนุ่มค่ะ

      แต่ถ้าอยากให้หน้ากรอบ อบให้นานขึ้นจนหน้าขนมไข่จะเป็นรอยย่นๆ ยับๆ ผิวขรุขระ และหดตัวลง ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ ให้อบจนผิวขนมเป็นสีน้ำตาลค่ะ ผิวขนมจะกรอบ แต่เนื้อจะแห้งขึ้นหน่อยนะคะ แต่ก็ยังมีความนุ่ม เหมาะสำหรับอบแล้วทานเลยภายในวัน








ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ชีสทาร์ตญี่ปุ่น


BAKE CHEESE TART


      สวัสดีค่ะ วันนี้ติ๊กจะมาทำชีสทาร์ตญี่ปุ่นกันอีกครั้งค่ะ เนื่องจากคราวก่อนชีสทาร์ต สูตร Ciao Kitchen เป็นอะไรที่เข้มข้นชีสมาก ทานแล้วรู้สึกเลี่ยนจุกกันไปตามๆกัน อีกทั้งใส่มะนาวไปเยอะ รสชาติเลยออกเปรี้ยวนำด้วยค่ะ แถมยังอบด้วยพิมพ์ครึ่งปอนด์ ปริมาณชีสงี้เอาไปเต็มๆ กว่าจะทานหมดชิ้นทำเอาคนชิมและคนทำเหนื่อยเลยค่ะ

      เมื่อสูตรยังไม่โดนใจเต็มร้อย ติ๊กก็ไม่ละความพยายาม ที่จะไปทำการบ้าน เสาะหาสูตรต่อ รอบนี้ติ๊กแวะเข้าไปดู Pinterest แล้วก็พบเจอสูตรที่น่าสนใจค่ะ เป็นสูตร Bake cheese tart หรือ Hokkaido cheese tart ของ Dreamerloft

      สูตรนี้ ติ๊กสนใจในตัววัตถุดิบของคัสตาร์ดชีสค่ะ  แต่สัดส่วนนั้นมองปราดเดียว รู้เลยว่าเลี่ยนแท้แน่นอน เพราะสัดส่วนสารพัดชีสเยอะกว่าสูตรคุณ Ciao อีก เลยทำให้ติ๊กต้องทดลองสูตรถึง 3 รอบ กว่าจะเป็นที่มาของสูตรคัสตาร์ดตัวใหม่ ที่ได้รสชาติอย่างลงตัว ให้รสสัมผัสครีมชีสแบบเบาๆ เนื้อคัสตาร์ดนุ่มละมุนลิ้น

      สูตรชีสทาร์ตนี้ ได้มีการปรับปรุงแป้งทาร์ตใหม่ด้วยนะคะ โดยอ้างอิงจากสูตรคุณ Ciao ที่เธอได้ผสมผงอัลมอนด์ลงไปด้วย แต่ติ๊กได้ปรับขั้นตอนการผสมใหม่ โดยนำเนยกับไข่แดงผสมกันไปก่อนเลย เหตุผลเพราะมีคนคอมเม้นท์รสชาติแป้งทาร์ตว่ามีกลิ่นไข่ค่ะ ติ๊กก็เลยเปลี่ยนวิธีการใหม่ ผสมไข่กับเนยให้เข้ากันก่อน แล้วค่อยผสมแป้งทีหลังค่ะ บอกเลยว่าสูตรนี้โดนใจติ๊กมากค่ะ มันอร่อยมากเลย ทาร์ตมีความหอมกรอบมัน ทานคู่กับคัสตาร์ดชีสลงตัวสุดๆ

      เอาเป็นว่าแป้งทาร์ตสูตรนี้ จะเป็นสูตรในดวงใจ ที่ติ๊กจะไว้ใช้ทำเมนูทาร์ตทุกเมนู (เว้นแต่จะเจอสูตรที่ดีไปกว่านี้ได้อีก ถึงจะเปลี่ยนใจค้า) เอาล่ะคะ...เกริ่นมาเยอะแล้ว เรามาดูสูตรกัน ว่าต้องเตรียมอะไรกันบ้างนะคะ

สูตรชีสทาร์ต (ทำได้ประมาณ 9-10 ชิ้นค่ะ)

ติ๊กใช้พิมพ์ทาร์ตขนาดเล็ก ตามคลิปวีดีโอเลยค่ะ

วัตถุดิบแป้งทาร์ต
***ในคลิป ติ๊กทำเบิ้ล 2 สูตร นะคะ***
  1. แป้งอเนกประสงค์ 70 กรัม
  2. อัลมอนด์ป่นละเอียด 30 กรัม (ติ๊กใช้อัลมอนด์สไลด์นำไปอบให้กรอบ แล้วนำไปปั่นละเอียด)
  3. น้ำตาลป่น 35 กรัม
  4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  5. เนยจืด 45 กรัม
  6. เนยขาว 10 กรัม
  7. ไข่แดง 1 ฟอง (ไข่เบอร์ 0)
  8. วนิลลาสกัด 1/4 ช้อนชา
วิธีการทำทาร์ต
  1. วอร์มเตาอบ 180 องศา ไฟบนล่าง 
  2. ผสมเนยจืด เนยขาว วนิลลา และไข่แดง คลุกพอเข้ากัน 
  3. ร่อนแป้งอเนกประสงค์ และน้ำตาลป่น ลงในชามผสม แล้วใส่เกลือ และอัลมอนด์ป่น แล้วคลุกยีๆให้พอเข้ากัน ให้เนื้อเป็นลักษณะเม็ดทรายเปียก
  4. นำโดว์ไปแร๊พ และรีดให้ได้แผ่นบางๆ ตามที่เราต้องการ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้โดวแข็งตัว ใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือจะแช่ห้องแข่งเพื่อจะลดระยะเวลาก็ได้
  5. เมื่อโดว์แข็งตัวดีแล้ว นำออกจากตู้เย็น ตัดแบ่งเป็นชิ้น นำมากรุลงพิมพ์
  6. หลังจากกรุแป้งทาร์ตเสร็จ หากโดว์อ่อนตัวลง ให้นำไปแช่ฟรีชสัก 10 นาที ให้แข็งอีกครั้ง แล้วค่อยนำส้อมมาเจาะรูตรงก้นทาร์ต เพื่อระบายอากาศ ช่วยลดการพองตัวของแป้งขณะตอนที่อบ
  7. นำเข้าอบด้วยอุณหภูมิ 180 องศา ไฟบนล่าง เป็นเวลา 10 นาที
  8. เมื่ออบเสร็จแล้ว พักทิ้งไว้ในพิมพ์ก่อน ให้ทาร์ตนั้นแข็งตัว แล้วค่อยคว่ำออกจากพิมพ์
เราได้ทาร์ตเรียบร้อยแล้ว ก็มาเตรียมคัสตาร์ดชีสกันต่อค่ะ

สูตรคัสตาร์ดชีส

  1. ครีมชีส 80 กรัม
  2. มาสคาโปเน่ชีส 40 กรัม
  3. พามานซานชีส 10 กรัม
  4. เนยสดเค็ม 20 กรัม
  5. นมสด 120 กรัม
  6. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา
  7. น้ำตาลทราย 20 กรัม (สูตรหวานน้อย ถ้าชอบหวานเติมไปอีกสัก 15 กรัมก็ได้ค่ะ)
  8. ไข่แดง 1 ฟอง เบอร์ 0 (ตักออกมา 1 ช้อนชา นำไปผสมกับนมสดประมาณ 1-2 ช้อนชา เพื่อนำไปทำ Egg Wash)
  9. น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา  (สูตรนี้ไม่เปรี้ยว ถ้าชอบเปรี้ยวเติมมะนาวตามใจชอบ)
  10. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
  11. กลิ่นส้มสกัด 1/2 ช้อนชา
วิธีทำคัสตาร์ดชีส
  1. วอร์มเตาอบ อุณหภูมิ 230 องศา ไฟบนล่าง
  2. นำหม้อใส่น้ำต้มให้เดือด แล้ววางชามผสมบนหม้อ เพื่อที่เราจะทำการตุ๋นครีมชีสค่ะ
  3. นำครีมชีส มาสคาโปเน่ชีส พามาซานชีส และเนยเค็ม นำใส่ชามผสม คนให้ละลายเข้ากัน
  4. นำนมสด และ แป้งข้าวโพด ผสมกัน คนให้ละลาย แล้วเทลงไปในชามชีส แล้วใส่น้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน
  5. ใส่ไข่แดงลงไป แล้วรีบคนให้เข้ากัน ให้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าส่วนผสมจะข้นหนืดเป็นรอยตะกร้อ
  6. ปิดเตา ยกชามผสมลงจากหม้อ ใส่มะนาว วนิลลา กลิ่นส้ม คนให้เข้ากัน
  7. นำทาร์ตที่อบไว้ มาวางเรียบบนถาดอบ หยอดคัสตาร์ดชีสลงไปในทาร์ตให้เกือบเต็ม และปาดหน้าให้เรียบ
  8. นำ Egg Wash มาทาผิวคัสตาร์ด แล้วนำเข้าอบอุณหภูมิ 230 องศา ไฟบนล่าง อบเพียง 6 นาที เท่านั้นค่ะ
      หลังจากอบเสร็จแล้ว หน้าตาขนมของเราเมื่อตัดออกมาได้หน้าตาตามรูปด้านล่างเลยค่ะ รสชาติของคัสตาร์ดจะมีความนุ่ม ได้รสชีสเบาๆ หวานน้อย และเค็มนิดๆ ส่วนตัวทาร์ตกรอบร่วนหอมอร่อย


      หลังจากติ๊กอบเสร็จ พักทิ้งขนมให้เย็นตัว ติ๊กนำใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด นำเก็บเข้าตู้เย็น 1 คืน แล้วนำมาตัดชิม ปรากฏว่าคัสตาร์ดชีสเนื้อหนึบเลยค่ะ ไม่นุ่มแล้ว ส่วนทาร์ตนั้นก็กรอบแบบแน่นๆ และนุ่มลงนิดหน่อย โดยรวมรสชาติก็ยังโอเคนะคะ อร่อยไปอีกแบบ


      แต่ถ้าใครชอบคัสตาร์ดนุ่มๆ ติ๊กแนะนำให้อุ่นในไมโครเวฟค่ะ ติ๊กได้ลองอุ่นไป 10 วินาที ถึง 2 รอบค่ะ รอบแรกอุ่นไปแล้วคัสตาร์ดไม่นิ่ม เลยต้องอุ่นต่อ ผลปรากฏได้ตามภาพค่ะ เนื้อนุ่มขึ้นแต่ไม่เป็นครีมเหลวเท่ากับตอนอบมาใหม่ๆ ตัวทาร์ตก็นุ่มขึ้นตาม จะไม่ค่อยกรอบเท่าตอนที่นำออกจากตู้เย็น แต่ก็ไม่แฉะนะคะ ก็อร่อยดีค่ะ เหมือนว่าติ๊กจะอร่อยไปสะทุกแบบ...555


      ก็เหลือแต่ว่าใครแวะผ่านมาเจอสูตรนี้ ได้ลองทำจะอร่อยถูกใจกันมั้ย ทำแล้วก็แวะมาบอกกันด้วยนะคะ

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เค้กกล้วยหอม

เค้กกล้วยหอม สูตรชิฟฟ่อนเค้ก (Banana Chiffon Cake)


      สวัสดีเพื่อนๆค่ะ หนึ่งสัปดาห์มาบรรจบ ติ๊กก็ต้องหาเรื่องทำขนมเหมือนเช่นเคย วันนี้ติ๊กจะมาทำขนมเมนูเอาใจผู้ใหญ่ที่บ้านค่ะ นั่นก็คือเค้กกล้วยหอม เป็นเมนูยอดนิยมที่คุณแม่ติ๊กชอบทานมาก ไม่ว่าติ๊กจะทำเค้กกล้วยหอมสูตรไหน คุณแม่ท่านก็ทานได้หมดทุกสูตร อร่อยทุกสูตร แหม...ก็ของโปรดของคุณแม่อ่ะนะคะ
      เอาล่ะคะสำหรับวันนี้ติ๊กมีอีกหนึ่งสูตรของเค้กกล้วยหอมที่อยากจะมาแนะนำ ที่คิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ เลยค่ะ ด้วยที่อยากให้เค้กกล้วยหอมรอบนี้ มีความนุ่มเบา และฉ่ำเนย ก็เลยเป็นที่มาของการทำ เค้กกล้วยหอม สูตรชิฟฟ่อนเค้ก และใส่เนยละลายแทนน้ำมันค่ะ
      สูตรนี้นะคะ ติ๊กรับรองเลยค่ะว่าใครที่ทานเค้กกล้วยหอมมาหลายต่อหลายที่ แล้วยังไม่พบกับความนุ่มสักที ให้ลองเปลี่ยนมาทำเค้กกล้วยหอม สูตรชิฟฟ่อนเค้กดูค่ะ จะพบว่ามันนุ่มอร่อยมากทีเดียวเลยนะคะ
      ติ๊กอบมาปุ๊บ คุณแม่ทานปั๊บ คุณแม่ทักว่า "เปลี่ยนสูตรอีกแล้วหรอ แต่รอบนี้อร่อยมาก นุ่มมากเลยนะ" แล้วคุณแม่ท่านก็ขอโควต้าไปแบ่งเพื่อนบ้านบ้าง แต่ติ๊กทำน้อยมากมีแบ่งไปแจก 4 ชิ้นเอง ที่เหลือเก็บไว้ทานกันเอง ตามประสาแม่ลูก (มีแอบงกค่ะ) แบบว่าเก็บได้คืนเดียวเอง หมดเกลี้ยงเลย

เอาละค่ะ เกริ่นมาสะเยอะ เข้าเรื่องหลักของเรากันเลยดีกว่าค่ะ
สูตรชิฟฟ่อนเค้กกล้วยหอม สำหรับ 2 ปอนด์
  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  3. เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
  4. ไข่แดง 2 ฟอง (ไข่เบอร์ 0)
  5. เนยเค็มละลาย 80 กรัม (หรือน้ำมันพืช ตามแต่ความชอบ)
  6. กล้วยหอมบด 2 ลูก (ประมาณ 200-250 กรัม)
  7. กรีกโยเกิร์ต 80 กรัม (ถ้าไม่มี ให้ใช้วิปปิ้งครีม ผสมน้ำมะนาว 1 ซีก พักทิ้งไว้อย่างน้อย 10 นาทีค่ะ)
  8. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา
  9. กลิ่นกล้วยหอม 1/4 ช้อนชา (ถ้ามี)
ส่วนผสมเมอแรงค์
  1. ไข่ขาว 3 ฟอง (ไข่เบอร์ 0)
  2. น้ำตาลป่น 90 กรัม
  3. น้ำมะนาว 3-4 หยด (ใช้แทนครีมออฟทาทาร์)
วิธีทำเค้กกล้วยหอม
  1. วอร์มเตาอบไว้ก่อนเลยค่ะ ที่อุณหภูมิ 165 องศา ไฟล่างค่ะ ***ติ๊กใช้ไฟไม่แรงเหมือนทุกทีนะคะเพราะไม่ต้องการให้หน้าเค้กแตก อยากให้หน้าเค้กเนียนสวยค่ะ*** 
  2. จากนั้นเราก็มาเตรียมกล้วยบดกัน แนะนำให้ใช้กล้วยหอมที่สุกงอมมากๆนะคะ แบบว่าเละๆ เปลือกดำๆ ยิ่งดีค่ะ จะมีผลต่อความอร่อยของเค้กด้วยน้า การบดกล้วยหอมของติ๊กนะคะ ใช้วิธีง่ายๆ คือปลอกเปลือกกล้วยหอม และนำกล้วยใส่ถุงข้าวแกง และใช้มือบีบๆ ขยี้ๆ จนเละค่ะ จากนั้นก็เทใส่ชามผสม หากยังเห็นว่ามีกล้วยที่ยังเป็นชิ้นๆ ไม่เละ เราก็แค่เอาตะกร้อกดๆลงไป กล้วยก็เละแล้วค่ะ แนะนำนะคะว่าการทำเค้กกล้วยหอม ควรใช้วิธีบดกล้วยจะอร่อยกว่านำไปปั่นค่ะ
  3. หลังจากนั้น เราก็ใส่ส่วนผสม ไข่แดง, เนยเค็มละลาย, โยเกิร์ต, วนิลลาสกัด และกลิ่นกล้วยหอม และคนให้เข้ากันดีค่ะ ***ในคลิปจะเห็นว่า ไข่แดงติ๊กจะแปลกไปเสียหน่อย เนื่องจากวีคก่อนค่ะ ติ๊กทำชีสทาร์ต ได้ทำ Egg wash คือผสมไข่แดงและนมในอัตราเท่ากัน แล้วนำมาทาผิวชีสทาร์ตค่ะ*** ซึ่งใช้ไปนิดเดียวเอง ติ๊กก็เสียดายค่ะ เลยนำมาใช้ผสมกับเค้กกล้วยหอมสะเลย ดังนั้นเพื่อนๆ ไม่ต้องแปลกใจค่ะ ใช้ไข่แดง 2 ฟอง แบบปกติไปนะคะ
  4. ผสมแป้งเค้ก เบกกิ้งโซดา ผงฟู เข้าด้วยกัน แล้วทำการร่อนใส่ชามผสมเปียก จากนั้นคนให้พอเข้ากันค่ะ แล้วพักทิ้งไว้ก่อน
  5. เราจะมาทำเมอแรงค์กันต่อค่ะ โดยปกติติ๊กตีไข่ขาว ไม่ค่อยได้ใช้ครีมออฟทาทาร์เลยนะคะ เพราะซื้อมาใช้ไม่คุ้ม ใช้มะนาวแทนดีกว่าค่ะ เพราะเป็นของที่มีติดบ้านตลอดเวลา ติ๊กพบว่าการใช้มะนาวแทนครีมออฟทาทาร์ ก็ทำให้เค้กนุ่มดีค่ะ ไม่ได้แตกต่างจากการใช้ครีมออฟทาทาร์แต่อย่างใด
  6. นำไข่ขาว 3 ฟอง (อุณหภูมิปกตินะคะ) ใส่ภาชนะที่สะอาด ทำการตีไข่ขาวด้วยสปีดต่ำ จนเป็นฟอง แล้วค่อยบีบมะนาวลงไป 3-4 หยด และทำการตีต่อ โดยให้ปรับสปีดในการตีเป็นสปีดกลางค่ะ และเมื่อไข่ของเราเริ่มเป็นครีม ก็ทะยอยใส่น้ำตาลป่นค่ะ ติ๊กแบ่งใส่ 3 รอบจนหมด
      ติ๊กไม่ใช้สปีดสูงสุดในการตีนะคะ เพราะเคยทำแล้ว พบกว่าเค้กมีฟองอากาศขนาดใหญ่มาก ทำให้เค้กเป็นรูๆ ไม่เนียนสวยเท่ากับใช้สปีดกลางในการตีค่ะ โดยการตีไข่ขาวให้ตั้งยอดอ่อนนั้น ติ๊กใช้เวลาไม่เคยเกิน 4 นาทีนะคะ

      ติ๊กชอบใช้น้ำตาลป่น เพราะว่าใช้น้ำตาลทราย แล้วถ้าตีน้ำตาลละลายไม่หมด ทำให้น้ำตาลเกาะผิวหน้าเค้ก ทำให้สีผิวหน้าเค้กไม่ค่อยเสมอกัน

      ลักษณะของครีมที่ได้นะคะ ว่าไข่ขาวเราตั้งยอดอ่อนได้ที่รึยัง สังเกตุว่า เมื่อเรายกหัวตีขึ้นมาเราจะเห็นว่ามีครีมติดที่ปลายตะกร้อในลักษณะโค้งงอนสวยงาม เหมือนเราทานไอศครีมซอฟครีม โดยเนื้อครีมที่ติดปลายตะกร้อ จะมีลักษณะเด้งๆ แบบมีสปริง เนื้อครีมต้องไม่เหลวหกใส่ภาชนะ ถือว่าใช้ได้แล้วค่ะ เพราะหากตีนานเกินไป จากที่เราจะได้ยอดอ่อนจะกลายเป็นยอดแข็ง จะทำให้เนื้อเค้กเราแทนที่จะนิ่มๆ กลายเป็นแข็งและหยาบแทนนะคะ

7. เมื่อเราได้เมอแรงค์แล้ว เราก็นำไปแบ่งผสมในส่วนของแป้งที่เตรียมไว้ แบ่งใส่ 3 ครั้ง โดยทำการตะล่อมไข่ขาวให้เข้ากันดีกับแป้ง ดูวิธีการตะล่อมได้ที่คลิปเลยค่ะ
8. จากนั้นนำแบทเทอร์ที่ได้ เทใส่พิมพ์ ติ๊กใช้พิมพ์กลมขนาด 2 ปอนด์ ค่ะ และทำการกระแทกพิมพ์เล็กน้อย เพื่อไล่ฟองอากาศในตัวเค้ก
9. เราใช้อุณหภูมิในการอบ 165C ไฟล่างเท่านั้น อบเป็นเวลา 30 นาที แล้วค่อยมาปรับไฟเป็นไฟบนล่าง อบต่ออีก 10 นาที ค่ะ
10. เมื่ออบเสร็จแล้ว ให้รีบนำเค้กออกจากพิมพ์เลยนะคะ แล้วจะตัดเสิร์ฟทานร้อนๆเลยก็ได้ หรือจะพักทิ้งไว้ให้หายร้อนก่อน ก็แล้วแต่ชอบค่ะ

      เนื้อเค้กที่ได้ เมื่ออบเสร็จ อยู่ในอุณหภูมิปกติแล้วตัดชิม จะพบว่าเค้กนุ่มมาก หากใส่ตู้เย็นเค้กจะเซ็ตตัว มีลักษณะคล้ายบัตเตอร์เค้ก กรณีใส่เนยละลายลงไป

      หากใครไม่ชอบเนื้อเค้กกล้วยหอมแบบใส่เนย ก็ให้ใส่น้ำมันลงไปแทนค่ะ เนื้อเค้กที่ได้ แม้จะเก็บในตู้เย็น ตัวเค้กกล้วยหอมก็นุ๊มนุ่ม

      เอาล่ะค่ะ ทั้งหมดก็เป็นเรื่องราวการทำ บานาน่าชิฟฟ่อนเค้ก ซึ่งติ๊กบอกเลยว่าสูตรนี้ถูกใจติ๊กมากเลยนะคะ อยากจะอบอีก เพราะยังทานไม่หน่ำใจเลยค่ะ



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ชีสทาร์ตญี่ปุ่น

ชีสทาร์ตญี่ปุ่น (Japanese Cheese Tart)


      ได้เวลามาอัพเดทเรื่องราวในห้องครัวกันอีกแล้ว สำหรับวีคนี้ติ๊กอยากจะลองทำ ชีสทาร์ตญี่ปุ่นค่ะ เพราะเป็นเมนูนี้กำลังนิยม อีกทั้งโดยส่วนตัวติ๊กชอบทานชีสทาร์ตญี่ปุ่นมาก ไม่ว่าจะเป็น Letao Double Formage Cheese Cake, Pablo Cheese Tart, Hokaido Cheese Cake จัดเป็น 3 เมนูโปรดของติ๊กเลยค่ะ เพราะเนื้อสัมผัสของชีสนั้นเป็นอะไรที่นุ่มละมุนละไม ทานง่าย ไม่หนักและเลี่ยนจนเกินไป

      เมื่อติ๊กอยากจะลองทำ ก็เข้าสู่กระบวนการหาข้อมูลค่ะ ว่าจะลองทำสูตรของใครดี เพื่อประเดิมสูตรก่อน จริงๆแล้วสูตรชีสทาร์ตมีหลายสูตรนะคะ และมีแบบไม่ใส่ไข่ ใส่ไข่ทั้งฟอง หรือใส่เฉพาะไข่แดง ค่ะ เมื่อดูๆ อ่านๆ ติ๊กก็ขอเลือกสูตรชีสทาร์ตของคุณ Ciao ค่ะ เหตุผลที่เลือกชีสทาร์ตสูตรนี้ก็เพราะว่า
1. เป็นชีสที่ไม่ใส่ไข่
2. ดูขั้นตอนทำง่าย ไม่ยุ่งยาก
3. คุณ Cioa พรีเซ็นต์หน้าตา หน้าทาน เหมือนเจ้า Pablo ค่ะ (แต่รสชาตินี่เค้าว่ามันไม่เหมือนเลยอ่า แต่ความจำติ๊กก็ลางเลือนเหลือเกินว่ารสชาติดั้งเดิมเป็นอย่างไร ทานไป 2 ครั้ง เมื่อนานมาแล้ว)

     หลังจากเลือกสูตร เราก็มาลงมีปฏิบัติกันเลยค่ะ เริ่มจากทำตัวแป้งทาร์ตก่อน แป้งทาร์ตไม่ได้ใช้สูตรคุณ Ciao นะคะ เป็นสูตรแป้งที่ติ๊กปรับมาใช้เป็นของตนเอง

สูตรแป้งทาร์ต พิมพ์กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-11 เซ็นติเมตร
  1. เนยเค็มอุณหภูมิห้อง 70 กรัม
  2. เนยขาว 10 กรัม
  3. แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
  4. น้ำตาลป่น 30 กรัม
  5. ไข่แดง 1 ฟอง
วิธีทำแป้งทาร์ต
  1. เราผสมเนยเค็ม เนยขาว คนให้เข้ากัน และร่อนแป้ง น้ำตาล เกลือ แล้วคนๆ พอให้เข้ากัน ให้ได้เนื้อเป็นลักษณะเม็ดทรายร่วน
  2. จากนั้นใส่ไข่แดง กลิ่นวนิลลา ผสมให้เข้ากัน
  3. ขั้นตอนผสมแป้งทาร์ต แนะนำให้ใช้ส้อมในการคน หรือจะเป็นมือของเราก็ได้ แต่อย่างเผลอนวดแป้ง อย่าผสมนาน ไม่งั้นแป้งจะเหนียว ไม่กรอบ
  4. เมื่อได้แป้งโดว์ ก็นำแร็พมาห่อให้มิดชิด นำโรลมานวดคลึงให้บางตามใจชอบ แล้วนำไปฟรีชสัก 10 นาที หรือ แช่ตู้เย็นสัก 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงค่อยนำมาใช้กรุลงบนฐานพิมพ์
  5. เมื่อแป้งทาร์ตเซ็ตแข็งตัวดีแล้ว นำออกจากตู้เย็น พักทิ้งไว้ 5 นาที แล้วนำไม้โรลมานวดๆคลึงๆ เล็กน้อย แล้วนำแป้งโดว์กรุลงพิมพ์
  6. จากนั้นนำส้อมจิ้มบริเวณก้นเพื่อไล่อากาศ ตอนอบจะช่วยไม่ให้ตัวทาร์ตพองตัวขึ้นมาก
  7. นำกระดาษไข และตุ้มสำหรับอบ หรือเมล็ดธัญพืช หรือข้าวสาร นำมาถ่วงน้ำหนัก ทับลงบนกระดาษไข แล้วนำแป้งทาร์ตเข้าอบ 180C 15 นาที จากนั้นนำออกมาจากเตาอบ แล้วให้นำกระดาษไขออก แล้วอบต่ออีก 10 นาที พักทิ้งไว้ให้เย็น
ลักษณะแป้งทาร์ตที่ได้ จะกรอบร่วนค่ะ รสชาติคล้ายๆคุกกี้เนยนะคะ

สูตรชีสทาร์ต
  1. ครีมชีส 100 กรัม
  2. ชีสมาสคาโปเน่ 50 กรัม
  3. น้ำตาล 35 กรัม
  4. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา 
  5. 50 ml วิปปิ้งครีม
  6. 50 ml นมสด
  7. น้ำมะนาว 5 กรัม (สำหรับคนชอบทานเปรี้ยวค่ะ ถ้าไม่ชอบไม่ต้องใส่ค่ะ หรือใส่เพียงแค่ 2-3 กรัม เปรี้ยวเล็กน้อย)
วิธีทำ Egg Wash ทาผิวขนม
  1. ไข่แดง 1 ฟอง
  2. นมสด 1 ช้อนโต๊ะ
  3. วนิลลาสกัด 1-2 หยด
วิธีทำ ให้นำส่วนผสมทั้งหมดผสมรวมกันแล้วคนให้เข้ากันค่ะ

ขั้นตอนการทำชีสทาร์ต
      ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะคะ สูตรที่ใช้เป็นของคุณ Ciao ก็จริงนะคะ แต่ว่าเทคนิคการทำชีสทาร์ต ติ๊กใช้เทคนิคของช่อง Boba ETtoday โดยวิธีการทำดังนี้ค่ะ
  1. แบ่งวิปปิ้งครีม หรือ นมสด มาเล็กน้อย เพื่อนำมาผสมกับแป้งข้าวโพด นำมาคนให้แป้งข้าวโพดละลาย
  2. นำครีมชีส มาสคาโปเน่ วิปปิ้งครีม นมสด น้ำตาล ใส่ชามผสม แล้วนำไปตั้งบนหม้อต้มน้ำ (Double Boil) จนกระทั่งชีสละลายจนเป็นเนื้อเนียนเข้ากันดี
  3. ใส่แป้งข้าวโพด ค่อยๆ เทแแป้งข้าวโพดลงไป และคนส่วนผสมให้เข้ากัน
  4. กวนครีมชีสไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมจะเริ่มข้นขึ้น เริ่มจับตัวเป็นก้อนๆ ให้ปิดเตา ยกครีมชีสลงมา
  5. ใส่น้ำมะนาว วนิลลาสกัด คนให้เข้ากัน
  6. นำครีมชีสเทลงไปในทาร์ต และปาดผิวหน้าชีสให้เรียบเสมอกัน นำไปแช่ฟรีช 15 นาที
  7. หลังจากแช่ฟรีชเสร็จ 15 นาที ผิวด้านหน้าชีส จะตึงแห้ง ให้ทา Egg wash ลงไปบางๆ นำเข้าอบ 200C เป็นเวลา 15 นาที
      หลังจากอบเสร็จ ถ้าใครชอบเนื้อครีมชีสลักษณะเป็นครีมข้นๆ สามารถตัดทานตอนร้อนๆ ได้เลยนะคะ ไม่จำเป็นต้องพักทิ้งไว้ให้เย็น แต่ถ้าชอบเนื้อครีมชีสแบบหนึบ ให้นำไปแช่เย็น แล้วค่อยตัดทานค่ะ
   
      เอาล่ะค่ะ มาถึงบทสรุปของสูตรคุณ Ciao ติ๊กว่าครีมชีสมันไม่นุ่มเบาเท่าไร คงเป็นเพราะสูตรมีแต่ครีม ถ้าจะให้ดี ติ๊กว่าสูตรนี้เหมาะสำหรับทำชีสบาร์, ชีสทาร์ตขนาดเล็กๆ และชีสครัมเบิ้ล น่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวมาก

      แต่ถ้าจะทำชีสทาร์ตเป็นปอนด์ สูตรนี้ไม่เหมาะเลยค่ะ หรือตามสูตรเป็นครึ่งปอนด์ ติ๊กก็ว่าไม่เวิร์ค มันหนักครีมเกินไปค่ะ ไว้รอบหน้าติ๊กจะลองสูตรใหม่ ที่ใส่ไข่มาให้ชมกันนะค่ะ น่าจะนุ่มลิ้นกว่า ดังนั้น ติ๊กให้คะแนนสูตรนี้ 7/10 ขอหักคะแนนความเลี่ยน และไม่นุ่มเบาของชีสทาร์ตสูตรนี้ค่ะ

***ไม่ได้ว่าไม่อร่อยนะคะ แต่เนื้อชีสลักษณะนี้ ไม่เหมาะสมกับการทำชีสทาร์ตชิ้นใหญ่ ซึ่งติ๊กคิดว่าจะนำครีมชีสสูตรนี้ ไปทำชีสบาร์ ชีสครัมเบิ้ล ต้องอร่อยมากๆ แน่นอนค่ะ ไว้ถ้ามีเวลาจะมารีวิว สาธิต ให้ชมกันนะคะ




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บราวนี่นูเทลล่า

บราวนี่นูเทลล่า (Nutella Brownies)


      ใกล้ปีใหม่เข้ามาเรื่อยๆกันแล้วนะคะ ติ๊กนึกขึ้นได้ว่า ตนเองได้ไปรับปากเพื่อนไว้ว่า จะลองทำบราวนี่นูเทลล่าไปฝากเพื่อน เพื่อนติ๊กอยู่ต่างจังหวัดค่ะ ไม่ค่อยได้เข้ามากรุงเทพบ่อยนัก และติ๊กเองก็จะมีโอกาสไปสังสรรค์กับเพื่อนคนนี้ ก็ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลสงกรานต์ค่ะ

      ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อนโน้นนะคะ เราได้มีโอกาสคุยกัน เพื่อนติ๊กบอกว่าอยากทานบราวนี่นูเทลล่าจัง เธอขับรถมากรุงเทพตั้งใจจะไปซื้อบราวนี่นูเทลล่า ของคุณจ๋า แต่ปรากฏว่าหมด เลยอดกันไป แต่ด้วยความอยากทานของเธอมีมาก เธอเลยบอกติ๊กว่าปีใหม่ปีนี้ช่วยทำเมนูนี้ให้หน่อยได้มั้ย เธอมีสูตรที่คล้ายคุณจ๋า มาให้ติ๊กทำ ติ๊กก็ไม่แน่ใจนะคะ ว่ามันคล้ายกันแค่ไหน เพราะก็ไม่เคยไปทานบราวนี่นูเทลล่า คุณจ๋า เลยสักครั้ง และนั่นจึงเป็นที่มาของเมนูในวันนี้ค่ะ

      บราวนี่นูเทลล่า (Nutella Brownies) สูตรคุณ Sally (แล้วติ๊กก็แอบคิดว่าเพื่อนติ๊กเองรู้ได้ไงว่ารสชาติมันจะเหมือนกันน้า เธอก็ไม่เคยทานสูตรคุณ Sally นี่น่า...555) เอาล่ะคะ เมื่อเพื่อนส่งสูตรบราวนี่นี้มาให้ติ๊ก ติ๊กก็ถึงกับบางอ้อเลยค่ะ เพราะติ๊กเห็นเมนูนี้บ่อย บน Pinterest และติ๊กก็ไม่ลังเลค่ะที่จะลงมือทำ เพราะสูตรคุณ Sally เชื่อถือได้อยู่แล้วค่ะ ดูจากส่วนผสมก็จัดเต็ม จัดหนัก คนคอมเม้นท์ล้วนแต่เอ่ยปากชมกันไม่ขาดสาย แต่ข้อควรระวังนะคะ เวลาเราเอาสูตรเมืองนอกมาทำขนม สูตรบ้านเมืองเขาจะทำขนมในรสที่หวานจัดมากค่ะ ดังนั้นเวลาเราเอามาใช้ต้องอ่านดีๆ และลดน้ำตาลลงนะคะ ขนาดบางทีติ๊กลดลงไปแล้ว ยังหวานอยู่เลยค่ะ

เกริ่นที่มาที่ไปมาพอสมควรของเมนูนี้ ก็ได้เวลาที่เราจะเริ่มลงมือทำกันได้แล้วจ้า

สูตรบราวนี่นูเทลล่า (Nutella Brownies)
  1. แป้งอเนกประสงค์ 95 กรัม
  2. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  3. ไข่ไก่เบอร์ (0) 2 ฟอง
  4. น้ำตาลทรายแดง 65 กรัม (สูตร Sally 100 กรัม)
  5. เนยจืด 75 กรัม
  6. นูเทลล่า 280 กรัม (สูตร Sally ใช้ 1 ถ้วยตวง)
  7. นูเทลล่า 70 กรัม หรือ 1/4 ถ้วยตวง
  8. วนิลลาสกัด 2 ช้อนชา
  9. ช็อคโกแลตสับ 135 กรัม (ถ้ามี)(สูตร Sally เป็นช็อคชิพค่ะ)
*** ติ๊กใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว ค่ะ
*** สูตรที่ติ๊กลง สังเกตุว่ามีวงเล็บต่อท้าย นั่นคือสูตรเดิมคุณ Sally ซึ่งหากใช้ตามเขาจริงๆ จะหวานมากๆ หวานถึงขีดสุดได้ค่ะ แต่ทำตามที่ติ๊กได้ลงไว้ ก็จะหวานปกติค่อนไปทางหวานมาก
*** อยากให้บราวนี่หวานน้อย ลดน้ำตาล หรือ ลดนูเทลล่า หรือ ลดช็อคโกแลตสับ ตามที่ตนเองอยากจะลดได้เลยค่ะ

วิธีการทำบราวนี่นูเทลล่า

ติ๊กจะทำบราวนี่นูเทลล่าตามขั้นตอนของคุณ Sally นะคะ จะเหมือนไม่เหมือนก็ต้องลองกันดูค่ะ
  1. ทุกครั้งในการทำขนมอบ ต้องวอร์มเตาก่อนเลยนะคะ ติ๊กอาจจะไม่พูดถึงขั้นตอนนี้เท่าไรในการลงสูตรขนม เพราะถือว่าพวกเราทุกคนต้องรู้กันอยู่แล้วนะคะ
  2. เราจะตีเนยกับน้ำตาล ด้วยสปีดสูงสุด ให้เข้ากันจนเป็นครีมและขึ้นฟูเล็กน้อยค่ะ ในขั้นตอนนี้ของติ๊ก เนยที่ติ๊กใช้ มันอ่อนตัวมากเลยค่ะ คือติ๊กเอาออกมาจากตู้เย็นมานานมาก จนเนยค่อนไปทางเหลว เลยทำให้ติ๊กตีเนยน้ำตาลได้ในระดับที่เป็นครีมเหลวๆ แทนค่ะ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าผิดพลาดเล็กน้อย แต่ไม่มีผลต่อบราวนี่อะไร
  3. จากนั้นนำไข่ไก่ วนิลลา ใส่ผสมลงไป และตีให้พอเข้ากันค่ะ โดยใช้สปีดกลาง อย่าตีนานนะคะ เดี๋ยวบราวนี่จะมีแต่อากาศค่ะ ในขั้นตอนนี้ถ้าไข่ไก่กับเนยเป็นลักษณะลิ่ม ก็ปล่อยผ่านไปค่ะ อย่าพยายามที่จะตี (คือมีเพื่อนบนเพจทักติ๊กมาถึงปัญหานี้ แล้วเธอก็พยายามจะตีไข่ให้เนียนเข้ากับเนยให้ได้ ยิ่งตีก็ยิ่งฟู ฟูจนจะทำเค้กได้เลยค่ะ แต่ไข่ก็ยังเป็นลิ่มๆ) ดังนั้นนะคะ เอาเป็นว่าใครเจอปัญหานี้ ไม่ต้องกังวลปล่อยผ่านไปค่ะ ไม่เป็นผลต่อการทำบราวนี่ หรือถ้ารู้สึกมันไม่เป๊ะปล่อยผ่านไม่ได้ ก็ใส่แป้งลงไป 1-2 ช้อนโต๊ะนะคะ แล้วตี มันก็จะเข้ากันได้ดีค่ะ (เทคนิคนี้ได้มาจากรายการพลพรรคนักปรุงนะคะ)
  4. ต่อมาค่ะ เมื่อตีไข่ให้พอเข้ากันแล้ว เราใส่นูเทลล่า ตีด้วยสปีดต่ำ ตีให้เข้ากันดี ขั้นตอนนี้ส่วนผสมจะเหนียวขึ้นมาค่ะ และสุดท้าย ใส่แป้ง เกลือ ลงไปค่ะ ไม่ต้องร่อนก็ได้ค่ะ เราทำบราวนี่ ไม่เน้นความเนียนละเอียดของแป้งค่ะ ให้เราใช้ไม้พายตะล่อมส่วนผสมแป้งให้เข้ากันนะคะ
  5. สุดท้ายนะคะ ถ้าใครมีช็อคโกแลตแท่งสับหยาบ ก็ใส่ผสมลงไปเลยค่ะ ผสมเบามือ อย่าผสมนาน เดี๋ยวช็อคจะละลาย และแป้งจะเหนียวค่ะ
  6. จากนั้น เราก็หยอดนูเทลล่า ที่เราแบ่งออกมา 1/4 ถ้วย ลงบนหน้าบราวนี่ เพื่อทำลวดลายค่ะ  หรือจะหยอด แล้วเกลี่ยๆเล็กน้อย ก็ได้นะคะ แล้วเอาไปอบ
      ขั้นตอนการทำลวดลายนี่ ติ๊กเองก็หนักมือไปมาก คือกรีดสะถี่หยิบ และก็ลึกด้วย ก็เล่นใช้มีดกรีดอ่ะนะค่ะ ตัวนูเทลล่างี้จมหายไปในบราวนี่ ก็ถือเป็นบทเรียนการเรียนรู้ไป รอบหน้าติ๊กว่าใช้ไม้จิ้มฟัน และจิ้มลงแค่ผิวของนูเทลล่าตวัดไปมาเล็กน้อยก็พอค่ะ ให้นึกถึงการทำลวดลายแบบลาเต้อาร์ตอ่ะคะ

      7. จากนั้น เราก็เอาเข้าอบเลยค่ะ อุณหภูมิไฟที่ใช้ประมาณ 175C อบนาน 25 นาทีค่ะ
   
      เอาล่ะเมื่ออบเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งใจร้อนนะคะ พักทิ้งไว้ให้เย็นสนิทก่อนจะตัด แต่แหม...ติ๊กก็มักจะบอกคนอื่นๆว่าให้ใจเย็นพักไว้นะคะ แต่ตัวติ๊กเองนี่ไม่เคยรอถึงชั่วโมงเลยค่ะ รีบตัดโชว์ก่อนแล้วค่ะ ก็แบบว่าอัดคลิปด้วยค่ะ บางทีเราก็อยากจะปิดจ๊อป ก็เลยรีบตัดเสิร์ฟ อยากจะชิมใจจะขาดอ่ะจ้า

      สรุปสุดท้าย รสชาติของบราวนี่นูเทลล่า สูตรคุณ Sally ติ๊กให้ 9/10 ค่ะ หัก 1 คะแนน ตรงที่จัดเต็มวัตถุดิบมากเกินไป ทำให้ความหวานของขนมชนิดนี้มันโดดไปมาก และมีความเข้มข้นของนูเทลล่า กับ ช็อคโกแลต มากเกินความพอดี แต่ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะคะ มันอร่อยมากถึงมากเลยละค่ะ ถึงติ๊กจะทำออกมาแล้วหวาน แต่มันเป็นความหวานจากเนยถั่วและช็อคโกแลต มันเลยอร่อยมากๆ แต่มันจัดจ้านเกินไปเหมือนเราทานช็อคโกแลตราดด้วยนูเนลล่ายังไงยังงั้น เลยขอหักไป 1 คะแนนจ้า

      เมื่อเราได้เรียนรู้สูตรของเขาแล้วเป็นเช่นไร เราก็ลองนำมาปรับให้เหมาะสมกับรสชาติในแบบที่เราอยากจะให้เป็นกันนะคะ




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เครปเค้ก

CREPE CAKE


      เมื่อถึงวันหยุดทีไร ติ๊กก็ชีพจรลงครัวเหมือนเช่นเคยค่ะ ทุกสัปดาห์คิดแต่ว่าเราจะทำขนมอะไรดีน้า และแล้ววีคนี้ของติ๊ก ก็คิดว่าเราจะเลือกเมนูไม่ยากล่ะกัน แบบไม่ต้องอบ ก็เลยคิดว่าจะทำ เครปเค้ก
     
      เดี๋ยวก่อนนะคะ ที่ติ๊กบอกว่าเป็นเมนูไม่ยากนะใช่นะคะ แต่จะทำให้อร่อยนี่ไม่ง่ายเลยค่ะ แต่ติ๊กก็ไม่รู้นะคะ ว่าเครปติ๊กอร่อยรึป่าว อ้าว!...สะง้าน แต่เพื่อนๆที่ออฟฟิศ เขาก็ชมกันหมดทุกคน ไม่มีใครติว่าเราเลย (เอาใจเราป่าวน้า) ทุกคนบอกว่าอร่อยมาก ฟินมาก
     
      ส่วนตัวติ๊กหรอค่ะ ติ๊กทานไป 1 ชิ้นครึ่งค่ะ ชิ้นแรกก็ตอนถ่ายคลิป ทานคนเดียวหมดเลย มีคุณแม่ทานไปคำหนึ่ง คุณแม่บอกว่าเลี่ยนจัง นมครีมทั้งนั้นแม่ไม่ไหว ติ๊กเข้าใจว่าท่านอายุเยอะแล้วค่ะ และขนมที่ท่านชอบก็ไม่สัดทัดพวกเค้กครีมทุกประเภท เครปเค้กจึงไม่ถูกปาก แน่นอนค่ะ ติ๊กทานเรียบคนเดียว จิ้มกับซอสสตรอเบอรี่ ราดซอสท่วมเลยค่ะ เพราะติ๊กเองก็ไม่สัดทัดเครปเค้กเหมือนกัน...555 ก็อาศัยซอสนี่แหละค่ะช่วย เลยทานได้หมดเกลี้ยง มันเป็นของที่ทานคู่กันแล้วฟินเนาะ
     
      เล่ามาสะเยอะ ยังไม่เข้าสูตรนะคะ ก่อนจะเข้าสูตร เพื่อนๆอ่านข้อควรระวังการทำเครปก่อนค่ะ แล้วค่อยลงมือกันนะคะ อย่าเพิ่งใจร้อน

***ทำเครปไม่ยาก แต่ทำอร่อยไม่ง่ายค่ะ***
  1. ควรได้สูตรเครปที่ถูกปากเรา และต้องเป็นสูตรที่แป้งนุ่ม แม้แช่ตู้เย็นแล้ว เอาออกมาทานเลยก็ยังนุ๊ม...นุ่ม (สูตรติ๊กนุ๊ม...นุ่ม แน่นอนค้า แต่ไม่รู้นะคะว่าเก็บไป 1 วีคจะเป็นไง เพราะมันหมดไปเพียงชั่วข้ามคืนค้า แต่เครปเค้กก็ไม่เหมาะที่จะเก็บไว้นานๆ ควรทานภายใน 3 วัน นะคะ)
  2. เมื่อมีสูตรที่ดีแล้ว การทอดแป้งเครปให้บาง ก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ซึ่งตรงจุดนี้เอง ติ๊กเองก็ยอมรับนะคะ ว่าไม่ง่าย แป้งเครปที่ติ๊กทอด บางไม่เท่ากันค่ะ บางอันก็บางเท่ากันอย่างสวย บางอันหนาข้างบางข้างค่ะ สาเหตุก็เพราะการกลิ้งแป้งบนกระทะนั่นเอง ควรมีทักษะ การกลิ้งแป้งที่รวดเร็ว และรู้ทิศทางแป้งเป็นอย่างดี ก็ต้องอาศัยความชำนาญนะคะ เทคนิคชาวเน็ตที่มีแนะนำกัน เขาแนะว่า กระทะห้ามร้อนเลยค่ะ ทำเครปหนึ่งชิ้น ต้องพักกระทะให้เย็นตัวก่อน เทคนิคนี้ติ๊กไม่ได้ทำตามค่ะ แบบว่ารอไม่ไหว กว่าจะทอดเสร็จคงปาไป 2-3 ชั่วโมง เพราะขนาดทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้รอกระทะเย็นตัว ก็ใช้เวลาไปชั่วโมงนึงแล้วค่ะ เพื่อนๆจะเลือกเทคนิคไหนในการทอดเครป ก็จัดกันไปนะคะ แต่บอกเลยว่าต้องทอดให้ได้แป้งบางเท่าที่เราจะทำได้ค่ะ
  3. วิปครีมค่ะ การใช้ปริมาณวิปครีมในการปาดต่อชั้นควรพอดี ไม่น้อย ไม่มากไป และที่สำคัญคือการใช้วิปปิ้งครีมในการตี ควรเลือกวิปปิ้งครีมที่ให้วิปที่ฟูเบา นุ่มลิ้น ไม่เลี่ยน ควรใช้วิปแบบแดรี่ครีม ส่วนของติ๊กนั้น ติ๊กใช้ผสมกันค่ะ แต่ใช้แดรี่ครีมปริมาณเยอะกว่า ติ๊กใช้แดรี่วิป 450ml และวิปเทียม 150ml เหตุผลก็อย่างที่เคยบอกค่ะ วิปเทียมเขาช่วยเซ็ตตัวได้ที ไม่ละลายได้ง่าย ติ๊กก็จำเป็นต้องใช้วิปเทียมมาช่วย โดยไม่ใส่เจลาติน ใครชอบวิปยี่ห้ออะไรแบบไหน ก็จัดไปค่ะ เอาที่เราชอบ จะได้ออกมาถูกปากตัวเองกันนะคะ
      ทั้งหมด 3 ข้อข้างบน จะช่วยให้การทำเครปเค้กของเพื่อนๆ ออกมาอร่อยฟินแน่นอนค่ะ ได้เวลาเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็นกันแล้วจ้า ว่ากันด้วยสูตรเครปกันเลยจ้า

สูตรเครปเค้ก 

สูตรนี้ สามารถทอดเครปได้ 25 แผ่น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20-22 เซ็นติเมตร
ส่วนผสมแห้ง
  1. แป้งเค้ก 180 กรัม
  2. น้ำตาลป่น 100 กรัม
  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
ให้นำส่วนผสมแห้งทั้งหมดนำมาร่อนรวมกัน และคลุกให้เข้ากันเลยค่ะ

ส่วนผสมของเหลว
  1. ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 3 ฟอง
  2. นมสด 900 มิลลิลิตร
  3. น้ำมันพืช หรือ เนยสดจืดละลาย 30 กรัม
  4. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
วิธีทำแป้งเครป
  1. ส่วนผสมของเหลวให้เริ่มจากการคนไข่ก่อน ให้คนไข่แดงกับไข่ขาวให้เข้ากัน จากนั้นใส่วนิลลาสกัด นมสด และน้ำมันพืช คนให้เข้ากัน
  2. นำของเหลว เทลงไปในชามผสมของแห้ง ทะยอยแบ่งเท 3 ครั้ง โดยครั้งแรกที่เท ให้คนส่วนผสมให้เข้ากันให้ดี และค่อยเทของเหลวต่อ จนผสมหมดเข้าด้วยกัน
  3. ขั้นตอนนี้ จะเห็นว่าอาจมีเม็ดแป้งเป็นก้อนๆ และก้อนไข่ขาวจับตัว และมีน้ำมันลอย (กรณีใช้น้ำมัน) ไม่ต้องกังวลค่ะ เดี๋ยวเราเอาไปกรองให้เนื้อเนียน
  4. นำส่วนผสมที่ได้ นำไปกรอง ด้วยกระชอนตาถี่ แนะนำควรใช้ตาที่ถี่มากๆ เนื้อจะยิ่งเนียน หลังจากนั้นนำแป้งเครปเก็บพักไว้ในตู้เย็น ระหว่างรอการจัดเตรียมซอสสตรอเบอรี่
      แป้งเครปที่ได้ จะมีไขมันลอยอยู่ เป็นที่น้ำมันพืชที่เราใส่ไปค่ะ ติ๊กเองก็เป็น แต่ไม่เป็นอุปสรรคในการทอดเครป เรายังได้เครปชิ้นสวยแสนอร่อย  (แต่ถ้าใช้เนยละลายไม่เป็นนะคะ)
     
      ตรงจุดที่ใช้น้ำมันพืชผสมนี้ ติ๊กเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรให้น้ำมันไม่ลอย และเข้ากันได้ดีกับส่วนผสมอื่น ติ๊กขอข้ามเรื่องนี้ไปก่อนนะคะ ยังไงๆ เครปก็ออกมางามค่ะ

สูตรซอสสตรอเบอรี่
  1. สตรอเบอรี่ฟิลลิ่ง 1 กระป๋อง
  2. น้ำเปล่า 100-300 ml แล้วแต่ว่าชอบความข้นระดับไหนค่ะ ในคลิปใช้ 100ml (แต่ถ้าอยากให้เสิร์ฟได้พอดี 12 ชิ้น ก็ควรเติมน้ำ 300ml)
  3. คอร์นไซรับ หรือ น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ (หากเติมน้ำ 300 ml ต้องใส่ 6 ช้อนโต๊ะ)
  4. มะนาว 3/4-1 ลูก ตามแต่ความชอบ
  5. สตรอเบอรี่สดหั่น 10 ลูก (จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้)
วิธีทำซอสสตรอเบอรี่
  1. ติ๊กใช้วีธีเตรียมซอสง่ายๆ แบบไม่ยุ่งยาก โดยใช้สตรอเบอรี่ฟิลลิ่งแบบกระป๋อง นำมาปั่นให้ละเอียดค่ะ
  2. เติมน้ำเปล่า และ น้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน นำไปเวฟให้เดือด หรือ จะนำไปตั้งเตาเคี่ยวจนเดือดก็ได้ค่ะ
  3. เมื่อเดือดแล้ว หากมีสตรอเบอรี่สด (ถ้ามี) นำมาหั่น และนำไปเวฟ หรือ ต้ม จนเดือดอีกครั้ง เมื่อเดือดแล้วปิดเตาเลยค่ะ ไม่ให้เดือดนานนะคะ เรายังต้องการเนื้อสตรอเบอรี่แบบเนื้อๆค่ะ เวลาทานแล้วจะตัดเลี่ยนได้ดีมาก
  4. จากนั้นก็ใส่น้ำมะนาว ตามใจชอบ ใครชอบเปรี้ยวๆ ก็จัดไปค่ะ
      ในคลิปนี้ เพื่อนๆจะเห็นว่า ติ๊กเตรียมซอสเติมน้ำแค่ 100 ml และไม่ได้ใส่เนื้อสตรอเบอรี่ค่ะ แต่พอถ่ายคลิปเสร็จ ติ๊กดูปริมาณซอสแล้ว ไม่พอเสิร์ฟแน่ๆ ก็เลยต้องเติมน้ำเข้าไปอีก ซึ่งติ๊กได้สรุปเป็นสูตรเอาไว้ด้านบน ว่าให้ใช้ 300 ml แทน แล้วติ๊กก็เพิ่มสตรอเบอรี่สดหั่นเต๋าลงไปอีกด้วย ใช้ไปประมาณ 10 ลูก

      ติ๊กไม่ได้เพิ่มมะนาวแล้วค่ะ เพราะว่ามะนาวหมด...555 แต่โชคดีค่ะ สตรอเบอรี่ที่ซื้อมา เปรี้ยวมาก เลยทำให้น้ำสตรอเบอรี่ที่ออกมาเปรี้ยวมาในซอสเล็กน้อย เลยได้ซอสอร่อยแบบ...พอดี๊...พอดี เลยค่ะ ปริมาณซอสที่ได้รอบนี้ ก็มากพอที่จะเสิร์ฟได้อย่างไม่งกแล้วค้า

      พอทำซอสเสร็จ ติ๊กก็มาต่อด้วยการทอดเครปค่ะ ก็เอาเครปออกจากตู้เย็น เตรียมความพร้อมทอดเครปกันค่ะ

ขั้นตอนการทอดเครป
  1. เราจัดเตรียมกระทะเทฟล่อน (วัดความกว้างก้นกระทะที่ติ๊กใช้ทอดเครปประมาณ 20 เซ็นติเมตร ค่ะ) ถ้าใช้กระทะไซส์เดียวกับติ๊กก็จะได้จำนวนแผ่นประมาณ 25 แผ่น แต่ถ้าใครทอดได้บางกว่าติ๊ก ก็จะได้แผ่นที่มากกว่า
  2. เครป 1 แผ่น ในการทอด ติ๊กใช้อุปกรณ์ตวงแป้งเครป ตวงประมาณ 50 ml ต่อการทอดแผ่นเครป 1 แผ่น
  3. ติ๊กใช้สปาตูล่าซิลิโคนในการแซะขอบเครปให้ร่อน เพราะซิลิโคนจะมีความยืนหยุ่นในการแซะตามขอบโค้งกระทำได้ดีกว่าวัสดุอื่นๆ
  4. ก่อนจะทอดเครป ติ๊กเทน้ำมันลงไปในกระทะ และนำกระดาษทิชชู่เช็ดออก เพื่อให้น้ำมันเคลือบกระทะบางๆ เวลาคว่ำเครปออกจากกระทะก็จะง่ายค่ะ และทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนที่จะทอดแผ่นถัดไป หากมีเศษเครปติดบนกระทะ ให้เช็ดออกให้หมดก่อนทอดด้วยค่ะ
  5. ทอดเครป เราต้องใช้ไฟอ่อน เมื่อจะทอดเครป ให้ยกกระทะขึ้นจากเตา เราจะไม่เอากระทะอังเตาไว้ จากนั้นให้เทแป้งเครปลงไป และรีบเอียงกระทะไปมา ให้แป้งเครปกระจายให้ทั่วกระทะ อันนี้ก็อยู่ที่มือใครมือมันแล้วค่ะ มือติ๊กเองก็เกือบแย่จ้า
  6. เอาเครปออกจากกระทะ ให้แซะขอบเครปให้ร่อนก่อน และสังเกตุว่า เมื่อแป้งเครปพองตัว ถือว่าสุกแล้ว คว่ำกระทะบนตะแกรง แป้งเครปก็หลุดลงมาค่ะ ทำแบบนี้ปเรื่อยๆ จนแป้งหมดค่ะ
  7. จำนวนชั้นของเครปที่นิยมกันจะใช้เครปที่ 20 แผ่น แต่ติ๊กใช้ 25 แผ่นเลยค่ะ เพราะ 1 สูตรติ๊กได้ 25 แผ่น ก็จัดไปให้ครบค่ะ
  8. ขนาดแป้งเครปที่ได้ประมาณ 3 ปอนด์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 20-22 เซ็นติเมตร เพราะบางทีติ๊กกลิ้งแป้งเลยขึ้นไปตรงขอบโค้งกระทะค่ะ แป้งเลยมีขนาดไม่เท่ากันบ้าง แต่ไม่เป็นปัญหาในการประกอบเค้กค่ะ 
      เมื่อเราทอดเครปเสร็จแล้ว ก็พักทิ้งเครปไว้ค่ะ ระหว่างนี้ก็ไปตีวิปปิ้งครีมเลยค่ะ เพราะเครปเย็นตัวเร็ว เราไม่ต้องพักไว้นานค่ะ ตอนปาดเครป ก็ให้เอาแผ่นเครปที่ทอดแผ่นแรกมาปาดก่อนนะคะ

สูตรวิปครีม
  1. Dairy Whipping Cream 450ml 
  2. Non Dairy Whipping Cream 150ml
การตีวิปปิ้งครีมของติ๊กนะคะ
  1. นำวิปทั้ง 2 ชนิดไปแช่ห้องแข่งประมาณ 15 นาที และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ตีนำไปฟรีชล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และควรเป็นอุปกรณ์สแตนเลส
  2. จากนั้นเราก็ทำการตีวิป ด้วยสปีดสูงสุด ตีจนวิปขึ้นฟูเป็นรอยตะกร้อค่ะ ขั้นตอนนี้ติ๊กใช้เวลาประมาณ 3-4 นาที ไม่เกินนี้นะคะ
การประกอบเครปเค้ก

ติ๊กขอแนะนำเป็นทิปนะคะ
  1. ในการปาดครีมแต่ละชั้น ให้ปาดให้เสมอกันค่ะ ก็คือ ปาดตรงกลางมาถึงขอบเครปให้หนาเท่าๆกัน เพราะตอนแรกติ๊กปาด ติ๊กก็ไม่ได้ปาดมาถึงขอบมากนัก แต่พอเครปเริ่มสูงขอบเครปมันโค้งลงมาค่ะ ติ๊กเลยมาเสริมวิปครีมชั้นเครปด้านบนๆ ที่ยังไม่ได้ปาด เสริมให้มันเท่ากัน เพื่อที่เครปเค้กจะไม่เป็นหลังเต่าค่ะ 
  2. ทุกชั้นเครปที่ติ๊กวางแป้งทับลงไปบนครีม ติ๊กจะใช้ตัวฐานรองเค้กกดแป้งเครปให้แน่นเรียบไปกับวิปตลอด เพื่อที่เวลาตัดเครป เครปของเราจะเรียงตัวชิดแน่นสวยงามค่ะ
  3. เมื่อเราได้เครปเค้กแล้วนะคะ ให้นำเครปเค้กไปเข้าฟรีชอย่างด่วนๆ เลยค่ะ เพราะเราใช้เวลาปาดเครปนานแล้ว ฟรีชไปสัก 30 นาที ไม่ต้องห่วงนะคะ เครปจะไม่แข็ง ไม่กระด้าง ไม่ดีดตัวแน่นอนค่ะ เว้นแต่แช่จนลืม จนจับตัวเป็นก้อนแข็งโป้กนะคะ เด๋วเพื่อนจะมาว่าติ๊กเอาได้ ฟรีซเสร็จก็ย้ายลงมาที่ตู้เย็นค่ะ หาอะไรปิดคลุมเครปเค้กด้วยนะคะ ทุกครั้งที่เรานำเค้กไปแช่ตู้เย็น ควรต้องมีฝาครอบเค้กให้มิดชิด ไม่ให้สัมผัสอากาศ ไม่งั้นขนมของเราจะขาดความชุ่มชื้นค่ะ และกลายเป็นว่าขนมเราจะดูดกลิ่นอาหารในตู้เย็นเข้ามาที่เค้กของเรา เค้กจะไม่อร่อยค้า
      ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาอย่างยืดยาว การทำเครปเค้กที่ติ๊กต้องเผชิญมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีเพียงเท่านี้จ้า เป็นเมนูที่ทำไปครึ่งค่อนวันกันเลยทีเดียว หวังว่าเพื่อนๆ จะชอบสูตรเครป สูตรนี้กันนะจ๊ะ ทำออกมาเป็นยังไง มาบอกเล่ากันบนเพจนะคะ แอดมินอยากจะรู้ว่าขนมแอดมินถูกปากเพื่อนๆ บ้างมั้ย เพื่อจะได้แก้มือในคราวต่อๆไป และนำมาเสิร์ฟเพื่อนๆ จ้า

เครปเค้ก



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เค้กมะพร้าวอ่อน

Young Coconut Cake

เค้ามะพร้าวอ่อน


      สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนค้า สำหรับวันนี้ติ๊กจะมาทำเค้กมะพร้าวอ่อนค่ะ ก่อนที่ติ๊กจะตัดสินใจทำเค้กมะพร้าวอ่อน ติ๊กก็คิดอยู่นานนะคะ ว่าจะทำดีไม่ทำดี เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบทานพวกกะทิ เนื้อมะพร้าว แต่ว่าน้ำมะพร้าวติ๊กทานนะคะ...555

      คิดไปคิดมา แม้ติ๊กจะไม่ได้ชอบทานเค้กมะพร้าวเท่าไรนัก แต่คนรอบข้างนี่สิ เขาชอบกัน ก็เลยคิดว่าเราควรจะทำขนมตามใจคนอื่นบ้าง ก็เลยหาข้อมูลการทำเค้กมะพร้าวกับพี่กูรู Google และแล้วก็เจอสูตรยอดนิยม ก็คือ เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อน ของคุณจุ๋มแม่สลิ่ม แต่ว่าของคุณจุ๋มนั้น เขาเลือกใช้เค้กชิฟฟ่อน แต่ติ๊กเลือกทำเป็นสูตรสปันจ์เค้กแทน โดยสูตรสปันจ์เค้กก็เป็นสูตรดั้งเดิมของคุณจุ๋มแม่สลิ่ม ที่เป็นสปันจ์เค้กวนิลลา แต่ติ๊กเอามาปรับสูตรเป็นเค้กใบเตย ได้เนื้อเค้กนุ่มละลายในปากทีเดียวค่ะ อร่อยมาก ทานเค้กเปล่าๆ ก็ยังฟินเลยนะคะ

      ส่วนสูตรไส้มะพร้าว (Coconut Filling) ติ๊กก็ดูจากของคุณจุ๋มเช่นกัน แต่เอามาปรับสัดส่วนของกะทิ น้ำมะพร้าว และเพิ่มเนื้อมะพร้าวลงไปปั่น ติ๊กจะไม่ได้ใส่เนื้อมะพร้าวแยก เพราะไม่ชอบค่ะ

      ส่วนครีมที่ปาดเค้ก ติ๊กเลือกใช้วิปครีมปาดค่ะ ไม่ใด้ใช้บัตเตอร์ครีมตามต้นฉบับนะคะ เนื่องจากติ๊กต้องการให้เค้กมะพร้าวของติ๊กเน้นความนุ่มละลายในปาก ให้ความรู้สึกของการทานเค้กมะพร้าว เหมือนทานไอติมกะทิค่ะ เอาล่ะคะเกริ่นมาพอควร เรามาเริ่มทำกันเลยค่ะ

สูตรเค้กใบเตย สำหรับทำเค้กมะพร้าวอ่อน สูตร 3 ปอนด์ ค่ะ
  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  5. ไข่ไก่เบอร์ (0) 3 ฟอง
  6. นมสด 50 มิลลิลิตร
  7. หัวกะทิ 50 มิลลิลิตร
  8. ใบเตย 8 ใบ หั่นหยาบ
  9. เนยจืดละลาย 70 กรัม (ใช้น้ำมันพื้ชทดแทนได้ ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวันใส่แทน)
  10. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
  11. สารเสริม SP 15 กรัม
วิธีการทำเค้กใบเตย สูตรสปันจฺเค้ก
  1. เราเปิดเตา วอร์มเตาที่อุณหภูมิ 180 องศา ไว้ก่อนเลยค่ะ และก็อย่าลืมเตรียมกระดาษไขรองก้นเค้กด้วยนะคะ
  2. เริ่มแรกเรามาเตรียมกะทิใบเตยก่อนนะคะ แต่ถ้าใครไม่อยากเตรียมให้ยุ่งยาก ก็ไม่ต้องใช้ใบเตย ใช้กะทิกับนม นำไปตีกับไข่ได้เลยค่ะ หรือ ซื้อกะทิใบเตยสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ แล้วค่อยมาใส่สี เติมกลิ่นอีกหน่อย ก็ได้เช่นกัน การทำกะทิใบเตย เราก็นำกะทิ, นมสด และ ใบเตย นำไปปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปกรองด้วยผ้าข้าวบางเอาแต่น้ำค่ะ ตอนกรองก็เอามือบีบๆ บี้ๆ ใบเตย หน่อยนะคะ จะได้คั้นเอาสีใบเตยออกมาได้เยอะๆ
  3. เมื่อเตรียมน้ำกะทิใบเตยเรียบร้อย เราก็มาตีเค้กกันค่ะ ติ๊กใช้เครื่อง Stand mixer ในการตีนะคะ เราใส่กะทิใบเตย, ไข่ไก่, น้ำตาล และปาดเอสพี ที่ปลายตะกร้อ เปิดเครื่องตีที่ระดับสูงสุดเลยค่ะ ติ๊กตีไป 8 นาที ก็ฟูเต็มที่ ส่วนผสมขึ้นเป็นครีมข้นหนืด
  4. จากนั้นใส่วนิลลาสกัดลงไป ตีสปีดกลาง แค่พอให้เข้ากันค่ะ จากนั้นก็ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือ ใส่ลงไป ตีด้วยสปีดต่ำ ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนื้อเนียนเลยนะคะ
  5. เมื่อส่วนผสมแป้งตีเข้ากันดีแล้ว ก็ใส่เนยละลาย หรือน้ำมันค่ะ แบ่งใส่ 3 รอบ ตีสปีดต่ำ ตีแค่ให้พอเข้ากัน เราจะไม่ตีนานนะคะ แค่พอให้เข้ากัน ยิ่งตีนาน เค้กเมื่ออบสุกแล้ว จะหดค่ะ เค้กหดมากเนื้อจะแน่น
  6. เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว เราก็เทใส่พิมพ์ค่ะ ติ๊กใช้พิมพ์กลม 3 ปอนด์ หลังจากเทเสร็จแล้ว เราก็ปาดหน้าแบทเทอร์ให้เรียบ และจิ้มฟองอากาศที่ปูดๆขึ้นมา แล้วก็นำเข้าเตาอบเลยค่ะ
  7. ติ๊กใช้ไฟบนล่าง อบ 180 องศา อบ 30 นาทีเป๊ะค่ะ แต่ว่านาทีที่ 20 ติ๊กจะมาเช็คสุก ว่าเค้กสุกดียัง เผื่อว่าเค้กอาจสุกเร็ว จะได้เอาเค้กออกมาเลย เพราะอบนานไปเค้กจะแห้งค่ะ แต่ตอนติ๊กเช็คสุก ปรากฎว่าเค้กยังเป็นครีมเหลวๆ อยู่ ก็เลยอบต่อจนครบ 30 นาทีค่ะ
  8. จากนั้นให้นำเค้กออกจากพิมพ์ ถ้าเค้กไม่ได้ร่อนออกจากพิมพ์ เราก็แซะขอบก่อนนะคะ แล้วค่อยคว่ำเค้ก อย่าทิ้งเค้กไว้ในพิมพ์นะคะ ให้เอาออกมาพักไว้บนตะแกรงให้เค้กเย็นตัวลง
ระหว่างนี้มาเตรียมไส้มะพร้าวกันค่ะ
  1. ไส้มะพร้าว
  2. ใบเตย 3 ใบ (ถ้ามี)
  3. น้ำมะพร้าว 200 มิลลิลิตร
  4. หัวกะทิ 100 มิลลิลิตร
  5. เนื้อมะพร้าว 100 กรัม (ถ้าไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็เปลี่ยนเป็นกะทิและน้ำมะพร้าวก็ได้ค่ะ)
  6. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  7. แป้งข้าวโพด 30 กรัม
  8. เนยสด 20 กรัม
วิธีทำไส้มะพร้าว ใส่เค้กมะพร้าวอ่อน
  1. การทำไส้มะพร้าว วิธีการขั้นตอน ไม่ได้ต่างไปจาก ซอสส้ม ซอสช็อคโกแลตหน้านิ่มค่ะ โดยเรานำส่วนผสม น้ำมะพร้าว, หัวกะทิ, เนื้อมะพร้าว และน้ำตาล นำมาปั่นรวมกันค่ะ ตรงส่วนนี้เพื่อนๆก็ชิมรสชาติกันเลยค่ะ ว่าหวานพอหรือไม่ ใครชอบทานหวานก็เติมน้ำตาลลงไปเลย ถ้าได้รสชาติพอใจแล้วก็ใส่แป้งข้าวโพดลงไป คนให้เข้ากัน
  2. นำส่วนผสมไปตั้งเตา ไฟกลาง นำไปเคี่ยวให้ข้นหนืด ติ๊กได้ใส่ใบเตยหอม ลงไปเคี่ยวด้วยค่ะจะได้หอมๆ เข้าไปอีก ก่อนที่ส่วนผสมจะข้น ติ๊กก็ตักใบเตยออก และคนส่วนผสมจนข้นเป็นรอยตะกร้อ ก็ปิดเตาค่ะ
  3. สุดท้ายใส่เนย และคนจนเนยละลายให้หมด และพักทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนนำไปใช้นะคะ เพราะเราจะปาดครีมด้วยค่ะ ถ้าใช้ตอนซอสร้อนๆ วิปจะละลายค่ะ
การตีวิปครีม
ติ๊กใช้วิปปิ้งครีม 400 มิลลิลิตร ประกอบไปด้วย
  • Dairy Cream 200 มิลลิลิตร
  • Non Dairy Cream 200 มิลลิลิตร
      การตีวิปครีม แนะนำให้ใช้โถผสมสแตนเลส และนำโถกับหัวตี ไปแช่ฟรีชเลยค่ะ ติ๊กแช่ไป 2-3 ชั่วโมงได้ การตีวิป ควรมีโถรองอีกชั้นให้ใส่น้ำแข็ง และน้ำเย็นเล็กน้อยลงไป เพื่อที่เราต้องการให้โถวิปครีมของเรากักเก็บความเย็นเอาไว้

      วิปปิ้งครีม ก่อนที่จะนำมาใช้ ติ๊กเทตวงเอาไว้ นำไปใส่ห้องแช่แข็งไว้ก่อน ประมาณ 15 นาที หรือจะนานกว่านี้หน่อยก็ได้นะคะ แต่อย่าให้นานจนวิปปิ้งครีมเป็นน้ำแข็งน้า เราต้องการให้เขาเย็นจัด ไม่ต้องการให้แข็งจ้า

      เมื่อของพร้อมแล้ว เราก็เทวิปปิ้งครีมใส่โถ แล้วเริ่มตีเลย ตีด้วยสปีดสูงสุด ติ๊กใช้เวลา 3-4 นาที ก็ตั้งยอดแข็งค่ะ หลังจากนั้นก็นำไปแช่ฟรีชพักไว้ก่อน ในระหว่างที่ติ๊กสไลด์เค้กเพื่อเตรียมปาด
พอติ๊กเตรียมเค้กเสร็จแล้ว ติ๊กปาดไส้มะพร้าวลงไปชั้นแรก จากนั้นติ๊กค่อยเอาวิปครีมออกมาจากห้องแข็ง แล้วนำมาตีต่ออีกเล็กน้อย แป๋บเดียวค่ะ เพื่อให้วิปเซ็ตตัวขึ้นอีกนิดค่ะ แล้วค่อยนำมาใช้
ขั้นตอนการปาดเค้ก ติ๊กคงไม่พูดถึงนะคะ เพื่อนๆดูจากคลิปได้เลย

      สุดท้าย เหตุผลที่ติ๊กใช้วิปครีมทั้ง 2 ชนิดผสมกัน ก็เพราะว่า Dairy Cream วิปครีมเขาจะนุ่มละลายในปาก และก็ละลายในอุณหภูมิห้องได้เร็วมากๆ เช่นกัน เป็นวิปครีมที่เซ็ตตัวได้ไม่ดีนัก โดยสูตรตีวิปประเภทนี้จะนิยมใส่เจลาติน แต่พอใส่เจลาตินเข้าไปแล้ว วิปจะเซ็ตตัวได้ดีในที่เย็นเท่านั้น แต่อุณหภูมิห้องตัวเจลาตินก็ไม่สามารถช่วยให้คงตัวได้ ที่สำคัญเมื่อใส่เจลาตินลงไป เก็บวิปครีมผ่านไป 1 วัน ตัววิปไม่อร่อยค่ะ จะมีความหนืด ทำให้เสียรสชาติค่ะ

      ส่วน Non Dairy Cream เป็นครีมเทียมค่ะ แน่นอนเราก็รู้กันดีว่าทานมากๆ ไม่ดี มีสาร Trans Fat แต่ก็นะคะ ถึงอย่างนั้นมันก็มีประโยชน์ ช่วยในการคงรูปของวิปครีมได้ดีทีเดียว แต่รสชาตินั้นจะหวานมาก และเนื้อวิปจะค่อนข้างหนัก เมื่อทานแล้วตัววิปมันติดลิ้น ไม่นุ่มละลาย เท่ากับ Dairy Cream ค่ะ
ดังนั้น เมื่อวิปทั้ง 2 ตัวมีการทำงานที่ต่างกัน ติ๊กก็เลยจับมาผสมกันสะเลยค่ะ ให้พบกันคนละครึ่งทาง และก็ไม่น่าเชื่อค่ะ ผลลัพธ์ออกมาดี ได้วิปที่อร่อย นุ่ม ละลายในปาก เซ็ตตัวได้นานในอุณหภูมิปกติ และหวานน้อย

      รสชาติเค้กมะพร้าวอ่อนสูตรนี้ ติ๊กรับรองความอร่อยค่ะ เนื้อเค้กนุ่มมาก ละลายในปาก ทานคู่กับไส้มะพร้าวและวิปครีม ละล๊าย ละลาย ฟินมาก ขนาดติ๊กไม่ชอบทานเค้กมะพร้าว ติ๊กยังรู้สึกว่าอร่อย และทานได้ง่าย นุ่มลิ้น เหมือนทานไอติมเลยค่ะ แนะนำให้ทานเค้กมะพร้าวตอนเย็นๆ นะคะ อร่อยมากค่ะ

สูตรเค้กใบเตยมะพร้าวอ่อน
เค้กใบเตยมะพร้าวอ่อน



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

เครป

Crepe


      สัปดาห์นี้ ติ๊กตั้งใจทำเครป ซอส Banana Chocolate Caramel เป็นเมนูสุดโปรดของติ๊ก ที่จะเอามาแบ่งปันทุกคนค่ะ ความสำคัญของเครป ติ๊กให้ความสำคับกับซอสมากที่สุดเลยนะคะ แบบว่าซอสอร่อยกินกับแป้งเครปสูตรไหนก็เอาอยู่ค่ะ เพื่อนๆว่าจริงมั้ย

      สำหรับซอส Banana Chocolate Caramel สูตรนี้ จะสัมผัสด้วยกลิ่นคาราเมลหอมๆ ควบคู่กับกล้วยหอมที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยช็อคโกแล็ตเข้มข้น ถ้าเพื่อนดูจากคลิปก็คงคิดว่าติ๊กจะทานเครป หรือทานซอสกันแน่ เพราะติ๊กใส่ซอสเยอะมาก จนเนื้อเครปเป็นไงไม่รู้เลย แป้งอร่อยรึป่าวไม่แน่ใจ แต่ทานร่วมกันแล้วฟินเว่อร์ค่ะ

      เอาล่ะมาเข้าเรื่อง เริ่มที่สูตรเครปกัน เราจะทำแป้งเครปไว้ก่อน เพราะตัวแป้งต้องพักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง แต่ติ๊กพักไม่ถึงหรอกค่ะ ก็นำมาใช้แล้ว

สูตรเครป
ส่วนผสมแห้ง
  1. แป้งเค้ก 65 กรัม
  2. น้ำตาลป่น 35 กรัม
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมของเหลว
  1. ไข่ไก่เบอร์สอง 1 ฟอง
  2. นมสด 300 มิลลิลิตร
  3. เนยสดจืดละลาย 10 กรัม
  4. วนิลลาสกัด 1/4 ช้อนชา
วิธีทำเครป
  1. เริ่มต้นจากเราจะร่อนส่วนผสมแห้งทั้งหมดเตรียมไว้ในภาชนะ
  2. นำส่วนผสมของเหลวทั้งหมด เทรวมกันและคนให้เข้ากัน แค่เพียงคนให้เข้ากันนะคะ
  3. จากนั้นนำส่วนผสมของเหลว แบ่งเทใส่แป้ง แบ่งใส่ 3 ครั้ง และคนให้เข้ากัน
  4. ส่วนแป้งเครปที่ได้นำมากรองบนกระชอนถี่ เลือกแบบถี่ที่สุดเลยนะคะ เราจะได้แป้งที่เนียน และไม่เป็นเม็ดแป้ง จากนั้นก็ห่อแร๊พ พักทิ้งไว้ในตู้เย็น
ระหว่างพักแป้ง เราก็มาทำซอสช็อคคาราเมลกันต่อค่ะ

ส่วนผสม Banana Chocolate Caramel
  1. น้ำตาล 10 กรัม
  2. ครีมสด 50 ml
  3. ช็อคโกแลตแท่ง ดาร์คช็อค 60% 50 กรัม (ช็อคชิพก็ใช้ได้จ้า)
  4. เนยสด 10 กรัม
  5. กล้วยหอมสุกหั่นสไลด์ 1 ลูก
วิธีทำซอสคาราเมลช็อคโกแลต
  1. ใส่น้ำตาลในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟแรง รอจนน้ำตาลละลาย เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล ติ๊กไม่ใช้น้ำตาลเยอะนะคะ เพราะมีช็อคโกแลตแท่งให้ความหวานอยู่แล้ว แต่ที่ต้องใช้น้ำตาลเพื่อเอามาทำเป็นกลิ่นคาราเมลหอมๆ
  2. เมื่อน้ำตาลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนค่ะ ใส่วิปปิ้งครีมลงไป และคนๆ จากนั้นใส่ช็อคโกแลต เนยสด และกล้วยหอม
  3. คนทุกอย่างให้เข้ากัน จนกล้วยเริ่มนิ่ม ถ้าใครไม่ชอบกล้วยนิ่มก็แค่คลุก 3-4 รอบ ก็เอาขึ้นได้เลยแต่ติ๊กชอบนิ่มๆ เหลวๆ อีกอย่างตอนแต่งเครป เราจะใช้กล้วยหอมมายัดไส้เพิ่มอยู่แล้ว เรียกได้ว่ามีแต่กล้วย และก็กล้วย
      ซอสที่ได้นะคะจะหอมคาราเมล และกล้วยหอม ผสานกับรสชาติช็อคโกแลตเข้มข้น ทานซอสเปล่าๆ ก็เพลินดีนะคะ แต่ระวังอย่าทานหมด เดี๋ยวไม่มีราดเครปจ้า

เราพักซอสเอาไว้ก่อน มาทำเครปต่อกัน

      หลังจากที่พักแป้งไว้ในตู้เย็นสักแป๋บ (ของติ๊กพักไม่ถึงชั่วโมง แบบว่าใจร้อนอยากจะทำทานแล้ว) ติ๊กทำซอสเสร็จ ก็เอาแป้งออกมาเตรียมทอดเลยจ้า
  1. นำกระทะมาตั้งเตาใช้ไฟแรงไปเลยจ้า ให้กระทะร้อนๆ แบบควันขึ้น จากนั้นทาเนยให้ทั่วกระทะ
  2. ลดระดับไฟลง ใช้ไฟอ่อนค่อนไปทางกลาง
  3. ยกกระทะขึ้นจากเตาไฟ ตักแป้งเครปเทใส่กระทะ ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความเร็วในการเอียงกระทะไปมา ให้ได้เครปเป็นแผ่นบาง และกลม แต่ติ๊กช้าไปสักหน่อย เพราะช้อนตักแป้งมันตักได้น้อยไป ถ้าให้แนะนำควรหาภาชนะตักแป้งเครปได้เยอะหน่อย หรือ พอดีกับถ้วยตวงจะดีมาก
  4. เวลาตักราดจะได้ไม่ต้องหย่อนหลายรอบ ถึงแม้ติ๊กจะตัดแป้งราด 3 ครั้ง ก็ไม่มีปัญหานะคะ ตัวเครปที่เสร็จออกมาก็เป็นแผ่นวงกลมติดกัน สวยงามปกติดี แผ่นที่ได้ก็บางนะคะ แต่บางไม่เท่ากัน...555
  5. ตอนทอดเครปเราไม่ต้องกลับด้านเครปนะคะ ทอดด้านเดียว เครปสุกเร็วค่ะ ไม่ต้องกลับด้านเลย
  6. เครปที่สุก ตัวแป้งจะร่อนจากกระทะ เราลองเอาไม้พายแซะเครปดูอีกด้าน ดูว่าเครปสีออกน้ำตาลอ่อนๆ รึยัง ถ้าสีสวยดีแล้ว ก็เอาขึ้นได้เลย
      ถ้ายังไม่ได้ใช้เครปทันที ให้นำเครปพักบนตะแกรงก่อน แต่ถ้าจะทานเลยก็ใส่จานเตรียมรอตกแต่งค่ะ
ตอนเอาเครปออกจากกระทะ ติ๊กใช้วิธีคว่ำบนตระแกรงไปเลยนะคะ ไม่ได้ใช้มือหยิบออกหรอกค่ะ มันร้อนค่ะ เชฟส่วนใหญ่ทำได้ แต่ติ๊กไม่ใช่เชฟอ่ะค่ะ มือทนความร้อนไม่ไหว รอเครปคลายร้อนนิดนึง ค่อยใช้มือหยิบมาวางบนจานเตรียมตกแต่ง

      ขั้นตอนการตกแต่งก็ไม่มีอะไรมาก เน้นตามใจตัวเองเป็นหลัก เพื่อนๆดูจากคลิปต่อได้เลย ติ๊กไม่รู้จะอธิบายอย่างไร นอกจากจะบอกว่าอร่อยมากค่ะ

      ลองทำกันดูนะคะ ทำไม่ยากเลย ฝีมือตกแต่งติ๊กไม่ได้เรื่องนะคะ แต่รสชาติจัดเต็ม อร่อยเกินร้อยแน่นอนค่ะ

      แป้งเครปเหลือไม่ทิ้งนะคะ เก็บในตู้เย็น นำมาทอดต่อวันอื่นก็ได้ค่ะ สูตรนี้น่าจะทอดได้อย่างน้อย 6 แผ่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20 ซม. ติ๊กนำมาทอด 1 ชิ้นเอง เพราะทานคนเดียว ส่วนซอสคาราเมลช็อคโกแลต ปริมาณสูตรจัดเสริ์ฟได้ 2 ที่ อย่างพอเหมาะ แต่ติ๊กเสริ์ฟทีเดียวหมดเลยค่ะ คือว่าถ้าเก็บไว้ก็ไม่แน่ใจว่าจะกินอีกทีเมื่อไร เพราะมีกล้วยผสมลงไปแล้ว ก็กินมันให้หมดไปเลยค่ะ บอกเลยว่าหมดนี้ แคลลอรี่พุ่งปี๊ดแน่ๆ

      ซอสนี้เหมาะเสริ์ฟแบบอุ่นๆ นะคะ ไม่นิยมเสริ์ฟแบบเย็น เพราะซอสจะเซ็ทตัวแข็ง ไม่อร่อยค่ะ
ยังมีซอสเครปอีกหลายซอส อยากมาแบ่งปันนะคะ แต่เวลามีน้อย ค่อยๆทะยอยทำ ทะยอยเสริ์ฟกันเนาะ

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

สลัดโรล

Salad Rolls


      สลัดโรล เป็นอาหารยอดฮิตและบูมมากตั้งแต่ช่วยปลายปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นเมนูสุขภาพ ทำทานเองก็ง่าย รสชาติก็อร่อย แต่โดยปกติแล้วติ๊กมักจะซื้อทานมากกว่า ไม่ได้ทำเอง เพราะไม่อยากม้วนแป้งให้เลอะเทอะ แต่วีคนี้รู้สึกชิลๆ และอยากกินสลัดโรลไส้ปูอัดขึ้นมา แต่เวลาไปซื้อทานร้านที่ทำขาย มักจะใส่ไส้น้อย ปูอัดก็ไม่อร่อย ทำให้สลัดโรลรสชาติไม่อร่อยตามไปด้วย ติ๊กก็เลยลองทำทานเองดูบ้างดีกว่า เพราะมันก็ไม่ได้ยากอะไร เมนูนี้ไม่ได้ต้องปรุงอะไรเลย แค่เอาผักกับไส้มาม้วนๆ เท่านั้นเอง
ความสำคัญของเมนูนี้ ติ๊กคิดว่าอยู่ที่วัตถุดิบล้วนๆ ถ้าเราใช้ผักที่สด ปูอัดอย่างดี แค่นี้ก็ฟินแล้ว ทานคู่กับน้ำจิ้มสลัด ไม่ว่าจะเป็นมายองเนส ซอสเทาซันไอซ์แลนด์ น้ำสลัดน้ำใส หรือจะจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด ก็อร่อยแซ่บ ฟินเว่อร์เลย

มาเข้าเรื่องวัตถุดิบกันเลยค่ะ ติ๊กเลือกใช้วัตถุดิบทำสลัดโรลดังนี้
  1. แผ่นแป้งเวียดนามยี่ห้อ Sunlee เป็นแผ่นสี่เหลี่ยม (ซื้อที่ฟูดแลนด์)
  2. ผักสลัดแล้วแต่ชอบเลยค่ะ ชอบผักแบบไหนจัดเต็มกันไป
  3. ปูอัดเกรดพรีเมี่ยม
  4. ปูนิ่มทอด (ซื้อร้านอาหาร)
  5. น้ำสลัดอิตาเลี่ยน McCormick (เป็นน้ำจิ้ม)
  6. น้ำเปล่าสะอาด
  7. น้ำมันเล็กน้อย
ขั้นตอนการทำสลัดโรล
  1. เตรียมน้ำสะอาดใส่ภาชนะ และก็ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อยค่ะ ติ๊กคิดว่าถ้าใส่น้ำมัน น่าจะช่วยให้แป้งมีความลื่น ไม่เหนียวติดภาชนะจนเกินไป จะได้ลอกม้วนง่ายๆ และก็จะได้ไม่ติดกับแป้งชิ้นอื่นๆ เวลาเราวางซ้อนๆ รวมๆ กัน
  2. นำแป้งเวียดนาม มาจุ่มน้ำ เน้นว่าจุ่มนะคะ ไม่แช่ค่ะ เพราะถ้าแช่ทิ้งไว้ แป้งนิ่มเละค่ะ ม้วนไม่ได้ เราจุ่มตามที่หน้าซองเขาบอกไว้เลยว่า ประมาณ 5 วินาที เราเอาแป้งลงไปจุ่ม เราก็นับ 1..2..3..4..5 แล้วก็เอาขึ้น เมื่อเอาขึ้นมาจากน้ำ แป้งจะยังแข็งอยู่นะคะ ไม่ต้องกังวลค่ะ เดี๋ยวจะนิ่มไปเอง
  3. จากนั้นเราก็จัดวางไส้ตามใจเลยค่ะ ติ๊กใส่ปูนิ่ม ปูอัด สลัดผัก แล้วก็ม้วนๆ ค่ะ ตอนม้วนก็จับไส้ให้แน่นๆ ม้วนแน่นๆ อ่อลืมไปว่า แป้ง 1 แผ่น ติ๊กแบ่งครึ่ง นำมาห่อได้ 2 ชิ้นค่ะ หลังจากที่แป้งเริ่มนิ่ม ติ๊กก็เอามีดมาตัดแบ่งแป้งครึ่งนึงค่ะ แล้วก็ทำการห่อสลัด
  4. ส่วนน้ำจิ้ม ติ๊กไม่ได้ทำเองนะคะ ติ๊กใช้น้ำสลัดอิตาเลียน ที่มีในตู้เย็นค่ะ มาเป็นซอส ก็อร่อยดีนะคะ ขึ้นชื่อว่าสลัด ติ๊กว่ากินกับน้ำจิ้มสลัดอะไรก็ได้ตามชอบค่ะ หากเราไม่มีเวลามากพอจะเข้าครัว ทำแค่นี้ก็พอแล้วจ้า
      ตอนทำสลัดโรลนี่ ติ๊กก็ไม่ได้หาข้อมูลเท่าไรนะคะ ว่าเขาจะต้องม้วนยังไง จัดวางยังไง ก็ดูคร่าวๆ เลยทำให้การทำครั้งแรกของติ๊กไม่ค่อยจะคล่องตัว แต่พอทำเสร็จอัดคลิปเสร็จ ก็ลองไปเปิดดูของคนอื่นเขา ว่ามีเทคนิคม้วนตัด กันอย่างไรบ้างให้สวยงาม ก็เลยรู้ว่าแผ่นแป้งนี้ควรตัดแบ่งก่อน จะดีกว่ามาตัดทีหลัง และเวลาห่อถ้าอยากได้ลายสวยๆ ผักโผล่ออกมาสวยๆ ต้องจัดวางอย่างไร ติ๊กมาดูเอาก็ทำเสร็จไปหมดล่ะ ไว้รอบหน้าจะมาทำใหม่ คิดไว้ล่ะว่ารอบหน้าอาจจะทำไส้ยำทูน่า หรือลาบปลาดุก นี่แหละ ถ้าทำไส้ลาบจริงๆ คงไปซื้อลาบร้านส้มตำ คงไม่ทำเอง...555 แค่คิดก็ฟินแล้วนะเนี่ย


ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

สังขยาใบเตย

สังขยาใบเตย สูตรไร้แป้ง


วันนี้ติ๊กอยากจะลองทำขนมไทยๆ แบบไม่อบกันบ้าง ทีแรกก็คิดว่าจะทำขนมอะไรดี คิดไปคิดมาอยากกินสังขยาก็เลยเปิดเน็ตหาสูตร ว่าวิธีทำสังขยาเขาทำกันยังไง สูตรก็คล้ายๆกันหมด ต่างกันแค่ปริมาณส่วนผสมกันเล็กน้อย ใครอยากได้ความเข้มข้นแบบไหนก็ปรับสัดส่วนกัน ติ๊กก็เลยเดาทางสังขยา ประมาณๆ เอา จนได้มาเป็นสังขยาสูตรเข้มข้นแบบนี้ สูตรนี้หอมใบเตยมาก รสใบเตยชัดเจน และได้ความหวานมันจากกะทิเข้มข้นไม่ได้เจือน้ำ หรือ นม อะไรเลย และไม่ได้ใส่แป้งด้วย เรามาดูกันค่ะว่าส่วนผสมเป็นอย่างไรบ้าง

สูตรสังขยาใบเตย

  1. กะทิ 120 กรัม
  2. ใบเตย 8-10 ใบ (นำมาหั่น เพื่อเตรียมคั้น)
  3. ใบเตย 5 ใบ (นำมาขยำกับไข่ ดับคาว)
  4. ไข่ไก่ 6 ฟอง (เราใช้เบอร์ 2)
  5. น้ำตาล 150 กรัม
  6. วนิลลาสกัด 1/4 ช้อนชา

วิธีทำสังขยาใบเตย

  1. นำกะทิกับใบเตยมาคั้นรวมกัน (หรือปั่นก็ได้) แล้วนำมาพักไว้ก่อน
  2. นำไข่ 6 ฟอง, กลิ่นวนิลลา และใบเตย 5 ใบ นำมาขยำๆ ดับกลิ่นคาวไข่
  3. จากนั้นนำน้ำกะทิใบเตยมาผสมกับไข่คนให้เข้ากัน นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อให้ส่วนผสมเนียนเข้ากันมากขึ้น
  4. ใส่น้ำตาล คนให้น้ำตาลละลาย และนำไปตุ๋น โดยต้มน้ำให้เดือดในกระทะ นำผ้ามารองก้นกระทะ แล้วค่อยนำหม้อลงไปวาง คนส่วนผสมไปเรื่อยๆ จนกว่าส่วนผสมจะข้นหนืดเป็นรอยตะกร้อที่เห็นชัด
  5. นำขึ้นมาพัก หากต้องการให้เย็นลงเร็วๆ ก็นำไปอังในน้ำเย็นจัดใส่น้ำแข็ง และคนสังขยาให้คลายร้อน
***หากสังขยาจับตัวเป็นก้อนๆ เนื้อไม่เนียน อยากได้เนื้อเนียนขึ้น ให้นำไปกรองบนกระชอนถี่อีกครั้ง
***สูตรสังขยาใบเตยไร้แป้ง จะได้รสชาติที่เข้มข้นมาก รสชาติหวานมันจากกะทิ และความข้นจากไข่ ซึ่งสูตรนี้สำหรับติ๊ก เมื่อทานไปเรื่อยๆ รู้สึกจะเลี่ยน เพราะเข้มข้นเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเราชินกับการทานสังขยาที่ซื้อตามร้าน จะผสมน้ำและแป้งสะเยอะก็เป็นได้ ไว้รอบหน้าติ๊กจะทำสังขยาใบเตยใส่แป้ง และผสมน้ำเพื่อเจือจางความเข้มข้นดู เผื่อว่ารสชาติจะได้เบา และทานได้ไม่เลี่ยน

สังขยาใบเตย


ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

เค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม Chocolate Fudge Cake

เค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม



วันนี้เราจะมาทำเค้กเช็อคโกแลตหน้านิ่มสุดฮิต อีกหนึ่งเมนูยอดนิยม และมีเพื่อนขอมาหลายท่าน ให้ติ๊กทำคลิปสาธิตแบบละเอียดๆ เหมือนเค้กส้ม ก็ได้ฤกษ์ยามที่ได้ทำคลิปกันสักที หลังจากที่ผลัดมานาน เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไม่ต้องเกริ่นเยอะ เข้าเรื่องสูตรกันเลยค่ะ

สูตรเค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม 3 ปอนด์

ตัวเค้ก เราจะทำเค้กชิฟฟ่อนช็อคโกแลตกันนะคะ ขอแบ่งส่วนผสมออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ค่ะ
ส่วนผสมที่ 1 ส่วนผสมแห้ง
  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  3. เบกกิ้งโซดา 3/4 ช้อนชา
  4. โกโก้ 40 กรัม
  5. น้ำตาลป่น 120 กรัม
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 2 ส่วนผสมเปียก
  1. กรีกโยเกิร์ต 120 กรัม หรือโยเกิร์ตยี่ห้อไรก็ได้ แต่ความเข้มข้นและไขมันที่ได้อาจจะน้อยกว่า
  2. ไข่แดง 3 ฟอง
  3. น้ำมันทานตะวัน 120 กรัม หรือ น้ำมันพืชทั่วๆไป
  4. วนิลลาสกัด 2 ช้อนชา
  5. กลิ่นเนย 1 ช้อนชา
ส่วนผสมทำเมอแรงค์
  1. ไข่ขาว 4 ฟอง
  2. น้ำตาลป่น 70 กรัม

วิธีทำเค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม

  1. นำส่วนผสมแห้งทั้งหมดมาร่อน ผสมรวมกัน และทำบ่อหลุมตรงกลาง
  2. นำส่วนผสมของเหลวทั้งหมดมาผสมรวมกัน คนให้เข้ากัน
  3. นำของเหลวที่ได้ เทลงไปผสมในส่วนผสมที่ 1 ที่เป็นของแห้งที่ร่อนเตรียมไว้
  4. ตะล่อมให้เข้ากันดี ส่วนผสมจะข้นหนืด ต้องไม่เป็นเม็ดแป้ง และพักทิ้งไว้ก่อน
  5. ตีไข่ขาวสปีดปานกลางจนขึ้นเป็นฟองฟูๆ แล้วบีบมะนาวลงไป 3-4 หยด ตีต่อจนไข่ขาวเริ่มเป็นครีม ใส่น้ำตาลป่นลงไป ทะยอยใส่จนหมด เมื่อตีไข่ขาวจนตั้งยอดอ่อนดีแล้ว ให้หยุดตี อย่าตีนานจนเป็นยอดแข็ง ไม่งั้นละก็เนื้่อเค้กที่ได้จะหยาบร่วนไม่อร่อยนะจ๊ะ ***ลักษณะเมอแรงค์ที่ได้จะคล้ายซอฟท์ครีม เนื้อครีมจะงอนโค้งติดที่ปลายตะกร้อ***
  6. ตักแบ่งมาใส่ผสมกับส่วนผสมของช็อคโกแลตที่ผสมไว้เมื่อสักคู่ แบ่งเมอแรงค์เป็น 3 ส่วน ตะล่อมๆ ให้เข้ากัน เมื่อส่วนผสมเข้ากัน ให้ตะล่อมต่ออีกนิด
  7. เทลงพิมพ์ 3 ปอนด์ วางกระดาษไขรองก้นพิมพ์
  8. เคาะไล่ฟองอากาศ
  9. อบไฟล่าง 150 องศา 40 นาที ประมาณนาทีที่ 30 สังเกตุเค้กจะขึ้นฟู 90% ให้เปลี่ยนโหมดไฟ ไปใช้ไฟบนล่าง
  10. เมือเค้กขึ้นฟูเต็มรูปดีแล้ว ให้เช็คเค้กสุก โดยนำไม้จิ้มฟันจิ้มลงไปตรงกลางเนื้อเค้ก จะต้องไม่มีคราบของเหลวติดไม้จิ้มฟัน

สูตรทำซอสช็อคโกแลตราดบนเค้ก

ซอสช็อคโกแลตสูตรนี้ จะเข้มข้นช็อคโกแลต และเป็นสูตรที่เราไม่ใส่ผงวุ้น แต่ซอสสามารถเซ็ตตัวได้ดี บอกเลยไม่ต้องพึ่งผงวุ้นจ้า

ส่วนผสมซอสช็อคโกแลต ประกอบไปด้วย
  1. นมสด 100 กรัม
  2. แป้งข้าวโพด 35 กรัม
  3. นมสด 200 กรัม
  4. น้ำเปล่า 200 กรัม
  5. ผงโกโก้ 40 กรัม
  6. ช็อคแท่ง Unsweet Choc 50 กรัม
  7. น้ำตาลทราย 200 กรัม
  8. เนยสดเค็ม 120 กรัม

วิธีทำซอสช็อคโกแลตราดบนเนื้อเค้ก

  1. ผสมแป้งข้าวโพด กับ นมสด 100 กรัม คนให้ละลายพักทิ้งไว้
  2. ต้มนมสด น้ำเปล่า ผงโกโก้ น้ำตาล ช็อคโกแลตแท่ง ผสมรวมกัน ต้มให้ทุกอย่างละลาย และเดือด
  3. นำแป้งข้าวโพดที่ละลายกับนมสดแล้ว ค่อยๆ เทลงไปในน้ำช็อคโกแลต ก่อนเทแป้งให้เอาช้อนคนๆ แป้งก่อนเทนะ เพื่อแป้งมันนอนก้นอยู่
  4. ระหว่างที่เทน้ำแป้งข้าวโพด ให้คนซอสช็อคไปด้วย คนเร็วให้น้ำแป้งกระจายตัว จนกระทั่งซอสช็อคข้นหนืด เห็นเป็นรอยตะกร้อชัดเจน ก็ปิดเตาได้เลย
  5. ใส่เนยสดเค็มลงไป คนให้ละลาย เข้ากันดี เป็นอันเส็ดแล้วจ้า
***สำหรับการราดซอส ดูตามคลิปได้เลยนะคะ***

      เค้กช็อคโกแล๊ตหน้านิ่มสูตรนี้ บอกเลยว่าอร่อยมากค่ะ ตัวเค้กนี้นิ่มสุดๆ และซอสก็เข้มข้นไม่หวานจนเกินไป ทานกับเค้กเข้ากันดีมาก แบบว่าละล๊าย ละลาย แต่ทว่าซอสช็อคสูตรนี้ของติ๊ก มันจะเซ็ตตัวไวมาก เวลาราดซอสคลุมเค้ก มันจะกองกระจุกตรงกลาง ด้วยที่มันข้นหนืด เซ็ตตัวเร็วกว่าที่ติ๊กคิด ทำให้ในการปาดจึงไม่เรียบเนียนนัก รอบหน้าติ๊กจะปรับสูตรอีกนิดหน่อย ทำตัวซอสให้สามารถราดได้เรียบเนียน แล้วจะเอามาแชร์กันค่ะ
เค้กช็อคโกแลตหน้านิ่ม



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บราวนี่หน้ากรอบ เนื้อหนึบ ละลายในปาก

บราวนี่หน้ากรอบ เนื้อหนึบ ละลายในปาก

Crispy & Fudge Brownies



      วันนี้ติ๊กมีเวลามาอัพเดท blog หลังจากที่ได้อัดคลิป บราวนี่หน้ากรอบไปนานมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงสูตรใน blog ตัวเองสักที

      ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าติ๊กชอบอบบราวนี่มากค่ะ และพยายามจะหาสูตรอบบราวนี่ต่างๆ ให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ และนี่ก็เป็นอีกผลงานหนึ่ง ที่ติ๊กอยากนำเสนอ เพราะเป็นรสชาติบราวนี่ที่อร่อยมากอีกสูตรของติ๊ก เพื่อนไม่ต้องเบื่อกันนะคะ นอกจากสูตรบราวนี่นี้ ติ๊กเองก็จะมีสูตรบราวนี่อีกมากมายมาลงได้อีก ก็คนมันชอบทาน ชอบความหลากหลายอ่ะเนาะ 555

      มาว่ากันถึงรสชาติบราวนี่หน้ากรอบ สูตรล่าสุดตัวนี้ ติ๊กยังคงเน้นช็อคโกแล็ตเข้มข้น และสูตรนี้จะมีความฟินตรงที่เมื่อเราได้กัดบราวนี่ลงไป เนื้อบราวนี่แทบจะละลายเลยค่ะ อร่อยมากทีเดียว แต่ก็ใช้ช็อคที่สิ้นเปลืองไม่น้อยด้วย 555

เรามาดูสูตรบราวนี่กันค่ะ

สูตรบราวนี่
  1. เนยสด 130 กรัม
  2. ช็อคโกแลต 240 กรัม (เราใช้ยี่ห้อ Ghirardelli Cocoa 60% 180 กรัม และ Ghirardelli Semi Sweet 60 กรัม)
  3. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
  4. ไข่ไก่ (เบอร์ 0) 2 ฟอง
  5. วนิลลาสกัด 2 ช้อนชา
  6. น้ำตาลทราย 135 กรัม
  7. แป้งอเนกประสงค์ 85 กรัม
วิธีทำบราวนี่
  1. นำเนยสด และช็อคโกแลต เกลือ ไปละลายให้เข้ากัน และพักทิ้งไว้
  2. ตอกไข่ไก่ แยกไข่ขาวไข่แดงออก
  3. นำไข่ขาวมาตีกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู (ใช้สปีดต่ำ) ตีจนเป็น Soft Cream และน้ำตาลละลายหมดจนขึ้นเงางาม ไม่ต้องตีจนตั้งยอดนะค่ะ แล้วค่อยใส่ไข่แดง กับวนิลลาสกัด ตีให้พอเข้ากัน
  4. จากนั้นนำช็อคโกแล็ตละลาย นำมาผสมลงในไข่ที่เราตี ตีต่อให้เข้ากัน และข้นหนืด
  5. ใส่แป้งและเกลือลงไปผสมต่อ ตีให้เข้ากันดี ส่วนผสมที่ได้จะขึ้นเงาสวย และมีความหนืด
  6. นำไปอบไฟบนล่าง ด้วยอุณหภูมิ 180 องศา อบ 20 นาที
  7. เมื่อนำออกมาจากเตา ควรพักทิ้งไว้ให้เย็น และนำใส่ตู้เย็น 1 คืน ก่อนนำมาตัดทาน บอกเลยว่ารสชาติจะชุ่มฉ่ำมาก

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

Ichigo Daifuku

ไดฟูกุถั่วแดงสอดไส้สตอเบอรี่


ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ติ๊กไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ก็ตั้งใจไว้ว่าจะหัดทำขนมไดฟูกุ ปกติแล้วที่ผ่านมาติ๊กไม่ได้ชอบทานโมจิ และไดฟูกุเท่าไรนัก เพราะทานมากี่ที่ แป้งขนมนั้นไม่อร่อย บางทีแข็งไป จืดไป ไม่เหนียวหนึบก็มี ไม่ถูกปากติ๊กเลย จนกระทั่งติ๊กได้มาลองทานขนมไดฟูกุถั่วแดงสอดไส้สตรอเบอรี่ ของร้านมูเทกิ (Muteki) จริงๆ ติ๊กก็ไม่ได้คาดหวังกับเมนูนี้เท่าไรหรอกนะ แต่อยากลองให้รู้รสชาติ ว่าทำไมร้านนี้ถึงขึ้นชื่อนัก เมื่อได้ทานคำแรกไปแทบกรี๊ด...แบบว่าฟินมาก มันเป็นอะไรที่ใช่เลย แป้งโมจินั้นอร่อยมาก ไส้ถั่วแดงก็ทำจากถั่วแดงจริงๆ บอกเลยว่าติ๊กติดใจมาก และได้มีโอกาสไปทานร้านนี้ถึง 2 ครั้ง ไม่สามารถลืมรสชาติไดฟูกุร้านนี้ได้เลย ใจมันเรียกหาอยากจะทานอีกอยู่เรื่อยๆ แต่... ราคานั้นโหดร้ายมาก ถ้าไปทานบ่อยๆ ก็ไม่ไหวนะ ลูกละตั้ง 120 บาท ติ๊กทานไป 2 ลูก ก็ 240 บาท (ราคานี้ ติ๊กสามารถนำไปซื้อสตรอเบอรี่นอกมาทำขนมได้แล้ว) เลยเป็นเหตุให้ติ๊กหัดทำขนมไดฟูกุเองดีกว่า เอาล่ะ...เกริ่นมาสะเยอะ เรามาเริ่มที่สูตรกันก่อนเลยนะคะ

สูตรถั่วแดงกวน
  1. ถั่วแดง 300 กรัม
  2. น้ำตาลทรายแดง 8 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  4. น้ำต้มที่ได้จากถั่วแดง 100 กรัม
  5. แป้งกวนไส้ 10 กรัม
วิธีทำถั่วแดงกวน
  1. ล้างถั่วแดงให้สะอาด นำถั่วไปแช่น้ำข้ามคืน แช่จนมันอืดเลยค่ะ
  2. จากนั้นกรองน้ำออกให้หมด นำถั่วแดงใส่หม้อ เติมน้ำสะอาดให้ท่วมถั่วแดง เพื่อที่จะเอาไปต้ม
  3. ต้มถั่วแดงให้เดือด ใส่น้ำตาลทรายแดง 8 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลจะซึมเข้าถั่วแดงทำให้หวานเล็กน้อย
  4. เมื่อถั่วแดงต้มเดือดแล้วให้เบาไฟลง เป็นไฟปานกลาง ต้มไปเรื่อยๆ จนกว่าถั่วแดงจะสุกนิ่ม ค่อนไปทางเปื่อย เราใช้เวลาไปเกือบ 4 ชั่วโมงได้
  5. กรองน้ำออก เอาแต่ถั่วแดงใส่หม้อ
  6. นำแป้งกวนไส้ และ น้ำต้มที่ได้จากถั่วแดง นำมาผสมกัน คนให้ละลายเข้ากัน แล้วเทใส่ถั่วแดง
  7. เริ่มกวนถั่วแดง แรกๆ ใช้ไฟแรงก่อนได้ จนถั่วแดงเดือดร้อน ค่อยลดระดับไฟเป็นไฟอ่อนๆ กวนไปเรื่อยๆ
  8. ระหว่างกวนถั่วแดง ก็ทะยอยเติมน้ำตาลทรายไปด้วย
  9. กวนถั่วแดงไปเรื่อย จนถั่วแดงเริ่มจับตัวเป็นก้อนๆ จนสามารถปั้นได้ก็ใช้ได้แล้ว
  10. นำถั่วแดงมาพักทิ้งไว้ให้เย็น
  11. เก็บรักษาถั่วแดงกวน โดยการนำมาห่อแร๊พให้มิดชิด และเก็บใส่ตู้เย็น
**ถั่วแดงกวนที่ได้จากสูตรนี้ จะไม่เนียนละเอียด หากใครชอบเนียนให้เอาไปปั่นก่อนเอามากวน แล้วถ้าใครชอบแบบเหนียวหนึบ แฉะๆ ก็ให้ใส่แบะแซ หรือกลูโคสไซรัป หรือคอร์นไซรับ


สูตรแป้งโมจิ สำหรับทำไดฟูกุ
  1. แป้งข้าวเหนียว (Glutinous Rice Flour) 70 กรัม
  2. แป้งมันสำปะหลัง (Tapioca Flour) 30 กรัม
  3. แป้งมันสำปะหลัง (Tapioca Flour) ตามต้องการ มาโรยเป็นแป้งนวล
  4. น้ำตาลทราย (Sugar) 40 กรัม
  5. น้ำเปล่า (Water) 150 มิลลิลิตร
**ด้วยที่เป็นการทำครั้งแรก ขอออกตัวแรงๆว่าติ๊กไม่โปรเลยสักนิด ถือว่าเป็นการสาธิตแบบมือใหม่ไปละกันเนาะ ดังนั้นใครไม่เคยทำขนม ติ๊กรับรองว่าทำได้แน่ๆ เพราะติ๊กยังทำได้เลย ทำได้แบบทุลักทุเลทีเดียว

วิธีทำไดฟูกุ
  1. สูตรแป้งนี้จะทำได้ประมาณ 12 ชิ้น หากรีดแป้งให้บาง แต่ถ้าต้องการแป้งหนาขึ้นมาหน่อย ก็ตัดแบ่งแป้งสัก 8-9 ชิ้น
  2. เริ่มแรกจากการปั้นถั่วแดงก่อน นำถั่วแดงกวนออกมาปั้น ก้อนละสัก 30 กรัม
  3. เมื่อปั้นเสร็จ ก็นำถั่วแดงกวนมาสอดไส้สตรอเบอรี่ ด้วยการกดถั่วแดงให้แบนราบ และเอาหัวสตรอเบอรี่ปักลงบนถั่วแดง นวดคลึงถั่วแดงขึ้นมาด้านบนให้ปกคลุมสตรอเบอรี่ให้หมด แล้วกลับด้านถั่วแดง เอาหัวสตรอเบอรี่ขึ้นมา คลึงถั่วแดงให้กลมสวย ทำจนครบทุกลูก
  4. ผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งมันสำปะหลัง คนให้เข้ากัน
  5. นำน้ำตาลทราย และน้ำเปล่า มาผสมกัน คนให้น้ำตาลละลาย แล้วค่อยๆ เทลงในชามแป้ง ผสมแป้งกับน้ำให้เข้ากันดี
  6. นำไปอบด้วยไมโครเวฟ ไฟปานกลาง รอบละ 1 นาที ทำ 4 รอบ รวมแล้วใช้เวลาอบไป 4 นาที
  7. เมื่อแป้งสุก เนื้อแป้งจะใส ให้นำแป้งมันที่เตรียมไว้สำหรับแป้งนวล โรยลงบนพื้นที่ที่เราจะปั้นแป้ง และบนแป้งโมจิ และไม้พาย แป้งมีความเหนียวมาก ต้องโรยแป้งนวลให้ทั่วเลยนะ
  8. จากนั้นก็แบ่งแป้งให้ได้ 12 ชิ้น แล้วเริ่มปั้นทีละชิ้น
  9. รีดแป้งให้บางตามที่ต้องการแล้วนำมาห่อถั่วแดง ในการห่อนี้ติ๊กเองไม่ถนัด ใครถนัดห่อแบบไหนก็ทำตามที่ต้องการเลย ทำยังไงก็ได้ให้แป้งเรียบตึงเป็นก้อนกลมๆ สวยๆ ติ๊กใช้วีธีค่อยๆดึงแป้ง มาที่ก้น แล้วก็นำกรรไกรมาตัดแป้งที่ก้นออก ที่ทำแบบนี้เพราะตอนขึ้นรูปแป้งติ๊กไม่ได้ปั้นเป็นก้อนกลม แล้วคลึงเป็นกลมๆ ทำให้แป้งไม่สามารถประกบได้พอดี อีกทั้งรีดแป้งบางมาก แป้งเลยเหลือพื้นที่เยอะ เลยต้องตัดทิ้งออกไปพอควร เมื่อตัดเล็มแป้งออก ตัวก้นไดฟูกุก็ติดกันสนิทพอดีด้วย แล้วนำไปคลุกแป้ง วางลงบนกระดาษไข หรือ กระทงจีบ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

       ผลงานที่ได้ ตัวแป้งโมจิเมื่อทำเสร็จใหม่ๆ โดยยังไม่เก็บตู้เย็น แป้งนุ่มเหนียวยืด เมื่อใส่ตู้เย็นค้างคืนสักคืนยังคงนุ่มอยู่ แต่ไม่หนึบยืดเท่ากับตอนทำใหม่ๆ พอผ่านไปคืนที่ 2 แป้งจะกระด้างขึ้น แต่ไม่แข็งโป๊กนะ ติ๊กแช่ไปผ่านไป 3 คืน แป้งไม่ยืดแล้ว กระด้างและแห้งขึ้นอีก แต่ก็ยังทานได้
     
       สรุปคือ สูตรนี้เราให้คะแนนตัวเอง 7/10 หักคะแนนที่แป้งโมจิ ยังต้องปรับสูตรให้แป้งชุ่มชื้น เรารู้สึกว่าแป้งไม่เก็บกักความชุ่มชื้นเอาไว้ ยิ่งพักทิ้งไว้ โดยเฉพาะในตู้เย็นแป้งจะยิ่งแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหนียวเลย คาดกว่าครั้งหน้า เราจะลองเพิ่มน้ำตาล น้ำเปล่า และลองใส่นม กับ Corn Syrup เพิ่มดู ว่าจะทำให้แป้งชุ่มชื้นขึ้นมั้ย กับอีกทีก็คงต้องไปหาซื้อแป้งญี่ปุ่น Mochiko Sweet Rice Flour มาทำ เห็นเขาว่าเป็นสุดยอดแป้งในการทำโมจิญี่ปุ่น ทำออกมาได้อร่อยเลิศตามรสต้นตำรับ หาซื้อในไทยหายากมาก เท่าที่ดูต้องสั่งจาก Amazon นำเข้ามาเลยทีเดียว

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

Caramel Cornflake

คอร์นเฟลกคาราเมล      

      ติ๊กต้องขอโทษเพื่อนๆนะคะ ที่ติ๊กห่างหายไปนานเลย ติ๊กติดภาระกิจต้องเตรียมงานออกบูธของออฟฟิศ และเตรียมโปรโมทสินค้าใหม่ของบริษัทฯ ทำให้งานมากินเวลาส่วนตัวของเราไปพอสมควร
ช่วงนี้ก็พอเพลาๆ ลงไปบ้าง ติ๊กก็เลยมาอบขนมฝึกปรือฝีมือกันดีกว่า วันนี้ติ๊กจะทำคอร์นเฟลกคาราเมล เมนูนี้เป็นเมนูยอดฮิตมาตั้งแต่ปีที่แล้ว สังเกตุว่าเวลาไปไหนมีคอร์นเฟลกคาราเมลวางขายเต็มไปหมด มีทั้งขายออนไลน์ รับออร์เดอร์ ขายตามตลาดนัด ขายขึ้นห้าง เป็นอะไรที่ฮิตสุดๆ ถึงอย่างไรกระแสความนิยมคอร์นเฟลกคาราเมลก็ยังคงมีอยู่ถึงตอนนี้ ก็ยังคงมีกลุ่มคนที่ชอบทาน แม้ช่วงนี้จะไม่ใช่กระแสของขนมคอร์นเฟลกคาราเมลก็ตาม

      เอาล่ะค่ะ ขอออกตัวของสูตรคอร์นเฟลกคาราเมล บอกเลยว่าสูตรนี้ได้ลองผิดถูกมา 3 ครั้ง โดยโจทย์มีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้คอร์นเฟลกคาราเมลของเรานั้น กรอบ และก็กรอบ กรอบนาน แห้งไม่แฉะ ไม่เหนียว เก็บได้ยาวนานโดยไม่ชื้น ไม่ต้องใส่ตู้เย็น (บอกเลยว่าที่วางขายๆ กันอยู่ ที่ว่าอร่อยเลิศแล้ว ดีงามมาก เจ้าดังต่างๆ ก็ไม่ถูกใจติ๊กสักร้านเลยค่ะ เลยต้องมานั่งคิดทำเอง) และแล้วอยู่ดีๆ ก็ปิ๊งขึ้นมา เทคนิคการอบคอร์นเฟลกให้กรอบนานและแห้ง เรามาดูสูตรกันเลยดีกว่าค่ะ


เริ่มจากการทำคาราเมลก่อนนะคะ
สูตรคาราเมล
  1. น้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำตาล 120 กรัม
  3. วิปปิ้งครีม 200 มิล
  4. เนยเค็ม 30 กรัม
  5. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
วิธีทำคาราเมล
  1. นำน้ำตาล และน้ำเปล่า ใส่กระทะขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟแรงไปเลยค่ะ จนเดือดและเราก็ปล่อยให้เขาเดือดต่อ เคี่ยวไปสักพักให้น้ำตาลออกขมเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมไหม้ เราสามารถทดลองชิมให้แน่ใจว่าได้รสและกลิ่นตามที่ต้องการ
  2. จากนั้นใส่วิปปิ้งครีมลงไป คนให้เข้ากัน จนเดือด แล้วปิดเตาค่ะ
  3. ใส่เนยเค็ม คนให้เข้ากัน แล้วใส่วนิลลาสกัด จากนั้นก็พักไว้
เรามาอบคอร์นเฟลกกันต่อเลย คอนเฟลกสูตรนี้ เราจะอบ 2 รอบ ดังนี้
ขั้นตอนแรก
  1. คอร์นเฟลก 200 กรัม
  2. แป้งอเนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ
  3. เนยเค็มละลายประมาณ 80 กรัม
วิธีอบคอร์นเฟลก
  1. เราผสมคอร์นเฟลกกับแป้ง คลุกให้เข้ากัน และค่อยๆใส่เนยละลาย คลุกให้เข้ากันดี การที่เราเตรียมคอนเฟลกแบบนี้ก่อน จะทำให้คอร์นเฟลกของเรากรอบหอมได้ยาวนาน ไม่แฉะค่ะ เพราะเรามีแป้งเป็นตัวช่วยนั่นเอง
  2. จากนั้น นำใส่ถาดรองด้วยแผ่นรองอบ เข้าอบด้วยไฟบนล่างพัดลม 140 องศา 15 นาที
  3. เมื่ออบเสร็จแล้ว ผิวของคอร์นเฟลกนั้นจะแห้งสนิท ไม่แฉะเหมือนตอนแรกแล้ว
ขั้นตอนสอง เตรียมอบคอร์นเฟลกคาราเมล
  1. อัลมอนด์สติ๊ก 2 กำมือ + แครนเบอรี่ ลูกเกด ผสมกัน 4 กำมือ และคาราเมลเล็กน้อย นำทุกอย่างมาผสมกัน
  2. ใส่คอนเฟลกที่อบรอบแรกไปแล้ว 100 กรัม
  3. ใส่คาราเมล 1 ช้อนโต๊ะ และผสมให้เข้ากัน ทำอย่างนี้ 3 รอบ (เท่ากับว่าเราใส่คาราเมลทั้งหมด 3 ช้อนโต๊ะ)
  4. นำใส่ถาด เข้าอบด้วยไฟบนล่างพัดลม 160 องศา 10 นาที
      เมื่ออบเสร็จ คอร์นเฟลกของเราจะแห้งสนิทเลย น้ำตาลคาราเมลจะแห้งเคลือบไปกับขนม จากนั้นเราพักทิ้งไว้ให้คลายร้อนลงหน่อย ก่อนที่จะเก็บ
     ในการเก็บรักษา ติ๊กจะใส่ถุงและซีลปิดเลย หรือ ไม่ก็ใส่ขวด Ball jar ที่ฝาจะล๊อค 2 ชั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ตู้เย็น เก็บไว้ข้างนอกได้นาน แต่นานแค่ไหนติ๊กก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะของติ๊กอยู่ได้ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ก็หมดแล้วจ้า ติ๊กหวังว่าเพื่อนๆ จะชอบสูตรนี้เหมือนกับที่ติ๊กชอบนะคะ

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การตีไข่ขาวให้ตั้งยอด

การตีไข่ขาวให้ตั้งยอด

เวลาติ๊กทำเค้กใหม่ๆ นั้น แล้วอ่านสูตร จะมีบางสูตรให้เราแยกไข่ขาวออกมาตี ให้ตั้งยอดอ่อน ซึ่งติ๊กจะงงเล็กน้อยว่า ตีให้ตั้งยอดอ่อนนี่ต้องประมาณไหน ติ๊กจำได้ว่าครั้งแรกที่ติ๊กตีไข่ขาวให้ตั้งยอดนะ เขาให้ตียอดอ่อน ซึ่งติ๊กก็กะไม่ค่อยจะถูก ตีไปนานเกินเพราะกัวไข่ขาวตั้งยอดไม่ดี เลยตีสะจนตั้งยอดแข็ง เค้กนี้ออกมากระด้างเลย เมื่อฝึกไปบ่อยๆ ทำเค้กหลายๆครั้ง เริ่มคุ้นมือก็รู้ล่ะว่าต้องตีประมาณไหน

วิธีการตีไข่ขาวให้ตั้งยอดอ่อน


ติดตามเรื่องราว Ms.andMrs.Brown

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บัตเตอร์เค้ก

บัตเตอร์เค้ก



      บัตเตอร์เค้ก เป็นเค้กชนิดแรกที่ติ๊กนึกถึงในการหัดทำขนมใหม่ๆ เพราะว่าเป็นเค้กที่ทำได้ง่ายมากที่สุด ครั้งแรกของการทำ ติ๊กเลือกที่จะใช้สูตร Butter Cake ใส่สารเสริม EC25K และก็เป็นสูตรที่ติ๊กใช้ทำมาตลอด เพราะได้เนื้อเค้กที่นุ่มเนียนมาก ทำกี่ทีกี่ทีก็ต้องมีสารเสริมตัวนี้คอยช่วยเสมอ
      มาครั้งนี้ ติ๊กอยากลองทำ Butter Cake โดยไม่ใช้สารเสริม และอยากได้เค้กที่นุ่ม มีปริมาตร ติ๊กเลยเลือกทำ Butter Cake ใช้สูตรแยกไข่ขาว ไข่แดง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ ติ๊กได้เค้กที่มีปริมาตรดีมาก เนื้อเค้กฟู และนุ่มพอใช้ได้ แต่เนื้อไม่เนียนเท่ากับใช้สารเสริม เอาล่ะ..เรามาดูวิธีทำบัตเตอร์เค้กวันนี้กัน

สูตรบัตเตอร์เค้ก (3 ปอนด์) / Butter Cake Recipe
  1. แป้งเค้ก 227 กรัม
  2. ผงฟู 3 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. เนยเค็ม 227 กรัม
  5. น้ำตาลป่น 180 กรัม
  6. ไขไก่ทั้งฟอง (เบอร์ 2) 3 ฟอง และ ไข่ขาว 1 ฟอง (ในคลิปติ๊กไม่มีไข่เบอร์ 2 มีแต่ไข่ไซส์เล็ก ติ๊กเลยใช้ไข่ไก่ 4 ฟอง และ ไข่ขาว 1 ฟอง)
  7. วนิลลา 2 ช้อนชา
  8. นมสด 150 กรัม
วิธีทำบัตเตอร์เค้ก
  1. ทาน้ำมันบางๆ ที่พิมพ์ และวางกระดาษไขไว้ที่ก้นพิมพ์ ติ๊กใช้พิมพ์ขนาด 3 ปอนด์
  2. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ พักทิ้งไว้
  3. หั่นเนยเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปตีสปีดต่ำ ให้เนยอ่อนตัว และเนียน
  4. แบ่งน้ำตาลมาครึ่งหนึ่ง ใส่น้ำตาลลงไปตี ปรับสปีดตีเป็นสปีดสูงสุด ตีให้เนยขึ้นฟู จนมีลักษณะเป็นสีครีม
  5. เตรียมไข่ นำไข่มาแยกไข่แดง ไข่ขาว 
  6. จากนั้นนำไข่แดงทั้งหมดไปผสมลงในเนย ตีสปีดกลาง ตีเพียงให้เข้ากัน และใส่วนิลลา แล้วตีต่อให้พอเข้ากัน
  7. ใส่แป้งลงไปผสม แบ่งใส่ 1/3 (แบ่งผสม 3 ส่วน) และตะล่อมให้เข้ากัน และ ใส่นมสด 1/2 ลงไปผสมให้เข้ากัน และทำวนแบบนี้จนแป้งหมด
  8. ในขั้นตอนนี้จะเห็นว่าในคลิปติ๊ก ค่อนข้างทุลักทุเล เนื่องจากเป็นเค้กเนย ส่วนผสมค่อนข้างแน่น ใช้พายผสมยากอยู่ (ติ๊กไม่มีแรงนั่นเอง) สุดท้ายติ๊กดูแล้ว ส่วนผสมไม่เข้ากันเลย ติ๊กเลยเปลี่ยนใช้เครื่องตีมาช่วยทำให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันได้ดี 
  9. นำไข่ขาวมาตีให้ขึ้นเป็นฟอง จากนั้นใส่น้ำตาล และตีด้วยสปีดกลาง จนเป็นสีขาว ตั้งยอดอ่อน
  10. นำไข่ขาว แบ่งผสมส่วนผสมแรก ค่อยตะล่อม จนเข้ากันดี แต่ติ๊กต้องใช้เครื่องตีช่วยเนื้อแบทเทอร์คนข้างหนัก ตะล่อมเข้ายาก เลยใช้เครื่องตีสะเลย โดยใช้สปีดต่ำ
  11. เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ เคาะไล่ฟองอากาศ เคาะหลายๆครั้งหน่อย แล้วเอาไม้จิ้มฟัน หรือ ส้อม กรีดตัดฟองอากาศใหญ่ ไม่งั้นตอนอบ หน้าเค้กจะมีฟองอากาศตรึม
  12. นำเข้าอบไฟล่าง 160 องศา ประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ติ๊กอบค่อนข้างนาน เนื้อเค้กสุกยาก เพราะมีไขมันเยอะ 
  13. ก่อนจะเอาเค้กออกจากเตา เช็คสุกให้ดีก่อน ถ้ายังมีคราบติดอยู่ ยังไม่สุกนะ ต้องอบต่อ
***ในการอบบัตเตอร์เค้ก หากมีฟองอากาศขึ้นมาหน้าเค้กเยอะมาก ไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ เป็นเรื่องปกติ***
   
      ผลลัพธ์ของบัตเตอร์เค้ก เนื้อค่อนข้างแน่น นิ่มพอใช้ได้ เป็นเค้กที่ทานชิ้นเดียวแล้วอิ่มบอกเลย ส่วนรสชาตินั้น ติ๊กนำไปให้เพื่อนๆที่ออฟฟิศทานกัน ทุกคนชอบกันหมด อาจเป็นเพราะติ๊กรีบเสิร์ฟตอนเช้ามั้ง เพื่อนๆทานแทนข้าวเช้ากันเลย คงจะหิว เลยอร่อย....555
      โดยส่วนตัว ติ๊กชอบบัตเตอร์เค้ก ที่ใส่สารเสริมมากกว่า เพราะทำให้เนื้อเค้กเนียน นุ่มกว่า เหมือนทานเค้ก S&P เลย ไว้รอบหน้าติ๊กจะทำบัตเตอร์เค้กใส่สารเสริมให้ชมกันนะจ๊ะ

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

Preserved Pineapple

สับปะรดกวน          ด้วยที่ติ๊กอยากจะทำพายสับปะรด ก็เลยจะทำสับปะรดกวนเองเสียหน่อย เพราะไม่ได้ทำยาก แต่จะเสียเวลามากกว่า ติ๊กใช้เวลาพอคว...