วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ขนมปังลูกเกด

     สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ติ๊กจะมาทำขนมปังสูตรผสม 2 ขั้นตอนค่ะ สูตรที่ติ๊กนำมาใช้ เอามาจากบล๊อกเกอร์คุณฉวี โดยสูตรต้นฉบับเป็นของ Mis Chucherias ชาวสเปนค่ะ

     การทำขนมปังโดยผสม 2 ขั้นตอน ก็คือการที่เราหมักแป้งสปองจ์ (Starter) ไว้ก่อน แล้วค่อยนำมาผสมทำแป้งโดว์ วิธีนี้เราจะได้ขนมปังที่นุ่มกว่าผสมขั้นตอนเดียวค่ะ ความนุ่มของสูตรนี้จะนุ่มมากกว่าสูตรขนมปังนมสดกับสูตรขนมปังนวดมือ ที่ติ๊กเคยลงเอาไว้นะคะ

     สูตรนี้ติ๊กลดสูตรลง 10% เพื่อให้ได้แป้งโดว์ในปริมาตรที่พอดีกับพิมพ์โลฟ 12 นิ้ว ติ๊กเคยทำเต็มสูตรแล้วพบว่าปริมาตรเยอะเกินไป พอวางในพิมพ์ทำให้แป้งโดว์ด้านล่างขยายตัวได้ไม่ดีพอ แล้วขนมปังที่ได้ก็สูงมากทำให้เปลือกขนมปังหนาและสีเข้ม เพราะอยู่ใกล้ไฟด้านบน


     เอาละค่ะเรามาเริ่มจากการทำแป้งสปองจ์ หรือ Starter กันก่อนเลยนะคะ

ส่วนผสม Starter
  1. แป้งขนมปัง 135 กรัม
  2. น้ำเปล่า 135 กรัม
  3. ยีสต์แห้งสำเร็จรูป 1 กรัม (ติ๊กใช้ยีสต์หวานยี่ห้อ Self-Instant เพราะที่บ้านจะซื้อแต่ยีสต์หวาน ติ๊กใช้ทำทั้งขนมปังจืดและขนมปังหวานเลยค่ะ) *สามารถใช้ยีสต์ธรรมดา ยีสต์จืด แทนได้ โดยระยะเวลาหมักเหมือนเดิม
วิธีทำ
  1. ร่อนแป้งขนมปังลงโถผสม ใส่ยีสต์ และน้ำเปล่าลงไป ผสมคนให้เข้ากันดี แป้ง Starter ที่ได้จะมีลักษณะเปียกแฉะ
  2. นำพลาสติกถนอมอาหารปิดคลุมภาชนะให้มิดชิด ไม่ให้อากาศเข้า หมักแป้งในอุณหภูมิปกติ 1 ชั่วโมง
  3. หลังจากหมักแป้ง Starter ครบ 1 ชั่วโมงแล้ว ให้นำไปหมักต่อในตู้เย็นนานถึง 16 ชั่วโมง จึงจะนำมาใช้ 
     พอหมักแป้ง Starter ได้ที่แล้วนะคะ ติ๊กก็มาเตรียมลูกเกดก่อนทำแป้งโดว์ค่ะ
  1. ลูกเกด 50 กรัม (จะใช้มากกว่านี้ก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้จ้า)
  2. น้ำอุ่นจัด 100 กรัม
  3. เหล้ารัม 1-2 ช้อนชา (ไม่จำเป็น)
     เริ่มแรกแช่ลูกเกดในน้ำก่อนนะคะ ติ๊กใช้น้ำอุ่นจัดเทลงไปให้ท่วมลูกเกด (ติ๊กไม่ได้ตวงหรอกนะคะ แค่เทลงไปให้ท่วมลูกเกดก็พอ) และใส่เหล้ารัมลงไปเล็กน้อย ถ้าใครไม่ชอบเหล้ารัมก็ไม่ต้องใส่ค่ะ ติ๊กแช่ลูกเกดประมาณ 20 นาที ลูกเกดก็นิ่มแล้วค่ะ แล้วก็เทน้ำออก บีบลูกเกดให้น้ำออกมาเสียหน่อยนะคะ ไม่ควรให้ลูกเกดอมน้ำมากไป เวลาเอามาใช้ทำขนมปังจะทำให้แฉะได้ จากนั้นติ๊กก็เอากระดาษทิชชู่มาซับน้ำผิวลูกเกดออกนึดนึงค่ะ ไม่ให้มันเปียกเกินไป

     จากนั้นก็มาทำแป้งโดว์กันต่อเลยค่ะ
  1. แป้งขนมปัง 225 กรัม
  2. แป้งเค้ก 90 กรัม
  3. ยีสต์แห้งสำเร็จรูป 5 กรัม (ติ๊กใช้ยีสต์หวาน Self-Instant) ยีสต์จืด ยีสธรรมดาก็ทำได้จ้า ระยะเวลาการขึ้นฟูสังเกตุจากแป้งโดว์เป็นหลัก
  4. นมผง 12 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 60 กรัม
  6. เกลือ 5 กรัม
  7. ไข่ไก่ 1 ฟอง (เบอร์ 2)
  8. น้ำเปล่า 60 กรัม (หรือใช้นมสดแทนได้ ถ้าต้องการให้แป้งชุ่มชื้นขึ้น)
  9. เนยเค็ม 45 กรัม (อุณหภูมิห้อง)
  10. แป้ง Starter ที่เตรียมไว้ขั้นตอนแรก
     *สูตรของต้นฉบับจะใส่ยีสต์น้อยมากๆ เลยค่ะ ใส่แค่ 2 กรัมเอง แต่บล๊อกเกอร์คุณฉวีใส่ยีสต์ไปตั้ง 12 กรัมแน่ะ ซึ่งโดยส่วนตัวติ๊กไม่เคยใช้ยีสต์ในปริมาณมากขนาดนี้ในการทำขนมปัง เลยลดสูตรลงมาตามที่ติ๊กเคยใช้ค่ะ และติ๊กก็มีเพิ่มน้ำตาลในสูตร เพราะเป็นคนชอบขนมปังที่รสติดหวานนิดนึงค่ะ *

วิธีทำขนมปัง
  1. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 160 องศา
  2. ผสมแป้งเค้ก กับแป้งขนมปังให้เข้ากัน แล้วนำมาร่อนใส่โถผสม จากนั้นก็ใส่ยีสต์ลงไป แล้วทำหลุมตรงกลางเอาไว้
  3. เตรียมส่วนผสมของเหลว ผสมน้ำเปล่า นมผง น้ำตาลทราย เกลือ ไข่ไก่ คนให้เข้ากัน แล้วเทลงไปในโถผสมแป้ง
  4. จากนั้นใส่แป้ง Starter ลงไป แล้วนำไปนวดเลยค่ะ ติ๊กใช้เครื่องนวดนะคะ หากใครจะนวดมือก็ทำได้จ้า วิธีการนวดมือดูจากสูตรขนมปังนวดมือที่ติ๊กเคยลงเอาไว้ตามลิงค์นี้ สูตรขนมปังนวดมือ ติ๊กใช้แค่สปีด 2 ในการนวดเป็นหลัก และมีใช้สปีด 3 บ้างในบางช่วงที่จำเป็นต้องใช้แรงเหวี่ยง ให้แป้งยึดติดกับตะขอตี 
  5. เดินเครื่องนวดด้วยสปีด 2 ไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเข้ากันดี จับตัวเป็นก้อนเดียว แล้วก็ใส่เนยเค็มลงไปนวดต่อ จนกว่าแป้งจะเนียนนุ่ม ไม่ติดมือ ติ๊กไม่ได้จับเวลานะคะ ติ๊กใช้เครื่องนวดไปเรื่อยๆ จนแป้งร่อนไม่ติดก้นโถผสม
  6. จากนั้นก็ใส่ลูกเกดลงไปนวดให้เข้ากันดี หรือจะใส่ตอนขึ้นรูป ค่อยโรยบนแป้งโดว์ก็ได้นะคะ แล้วแต่ชอบ
  7. เมื่อเข้ากันดีแล้ว ติ๊กก็นำออกจากโถผสม นำมานวดๆ คลึงๆ ต่อเล็กน้อย และก็จับฟาดกับโต๊ะ จนแป้งโดว์นุ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ก็เช็คแป้งโดว์ดูว่าสามารถขึงเป็นฟิล์มบางๆได้หรือไม่
  8. จากนั้นก็จัดทรงแป้งโดว์ให้เป็นก้อนกลม และพักแป้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ให้แป้งโดว์ขึ้นฟู 2-3 เท่า ก็ใช้ได้ค่ะ ควรนำพลาสติก หรือผ้าเปียก ปิดภาชนะโดว์ให้มิดชิด ไม่ให้อากาศเข้าด้วยนะคะ 
  9. เมื่อแป้งโดว์ขึ้นได้ที่แล้ว เราก็ชกแป้งไล่ลมออก แล้วนำมาขึ้นรูปค่ะ วันนี้ติ๊กขึ้นรูปเป็นขนมปังปอนด์แบบหัวกะโหลก ม้วนเป็นโรลแบบยาวค่ะ
  10. นำแป้งจับยืดกางออกให้เป็นสี่เหลี่ยม ความกว้างให้ได้เท่ากับความยาวของพิมพ์ พับขอบแป้งด้านซ้ายขวาเข้ามา แล้วรีดให้เรียบเสมอเท่าๆกัน แล้วม้วนแป้งขึ้นมา นำมาวางลงในพิมพ์ (ทาไขมันบางๆที่พิมพ์ไว้ด้วยนะคะ)
  11. พักแป้งโดว์ให้ขึ้นเกือบเต็มพิมพ์ ประมาณ 80-90% ของพิมพ์ ติ๊กใช้เวลาพักไปราวๆ 40 นาที
  12. ทา Egg yolk ที่ผิวขนมปัง (ไข่แดงผสมกับนม หรือน้ำ อัตราส่วน 1:1 หรือ 1:2 ก็แล้วแต่ชอบค่ะ หรือจะไม่ทาก็ได้เช่นกัน)
  13. จากนั้นนำเข้าอบด้วยไฟล่าง 160 องศา เป็นเวลา 40-45 นาที
  14. เมื่ออบเสร็จแล้ว นำออกจากพิมพ์เลยค่ะ มาพักทิ้งไว้บนตะแกรง ถ้าอยากให้เปลือกขนมปังเงาสวย เราก็ทาเนยสด แล้วก็พักขนมปังให้คลายร้อนลงเสียหน่อยแล้วค่อยตัดชิ้น
     ขนมปังนุ่มๆ มาเสิร์ฟแล้วจ้า สูตรนี้นุ่มอร่อยทีเดียว ขนมปังสูตรนี้เก็บผ่านไป 3 วัน ก็ยังนุ่ม แต่ติ๊กจะใส่ถุงและปิดปากถุงให้สนิทไม่ให้อากาศเข้า แล้วก็วางไว้ในอุณหภูมิห้องปกตินะคะ วันที่ 3 ถ้าทานไม่หมด ติ๊กก็ย้ายไปเก็บในตู้เย็นแทนค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเก็บในที่เย็นขนมปังจะกระด้างขึ้น ก่อนทานติ๊กก็นำเข้าเวฟ ไม่ก็จับลงเครื่องปิ้งขนมปังค่ะ ขนมปังก็นุ่มอร่อยเหมือนเดิม




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

Super Soft Sponge Cake

     สวัสดีทุกคนค่า เมนูวันนี้ติ๊กจะมาลองทำ Sponge Cake "Tang mian method" เค้กนุ๊มนุ่ม ไม่ต้องพึ่งสารเสริม SP และผงฟูเลย

     Tang mian method เป็นเทคนิคการทำเค้ก โดยทำให้แป้งสุกก่อนนั่นเอง โดยนำแป้งไปผัดกับเนยละลายที่ร้อนจัด จนแป้งนุ่มเนียน วิธีการนี้จะทำให้เค้กมีความหอมของกลิ่นเนย และเนื้อเค้กมีความนุ่มเนียนมาก เนื่องจากการผัดแป้งกับเนยจะไม่ทำให้เกิดกลูเตนนั่นเอง เพราะแป้งถูกเคลือบด้วยไขมัน จึงทำให้เค้กสูตรนี้มีความนุ่มมากทีเดียว (หลักการที่เขียนมานั้น เอามาจากบล๊อกเกอร์ KitchenTigress) และที่สำคัญเค้กไม่เป็นตับ เป็นไตได้ง่าย แต่อาจจะเป็นโรคยุบหนอ ฟีบหนอแทนได้ เพราะสูตรที่ติ๊กจะทำเป็นการผสมแยกไข่ขาวจ้า

     สูตรต้นฉบับเป็นของ Baking with mi สูตรของเขาจะไม่ใส่ผงฟู แต่จะใช้ไข่เป็นตัวช่วยทำให้ขึ้นฟูเป็นหลัก และอบด้วยวิธีการรองน้ำ ทำให้เค้กสูตรนี้นุ่มเนียนและชุ่มชื้น เป็นเค้กที่ติ๊กหลงรักมากเลยทีเดียว หลงรักแบบว่าถ้าต้องทำเค้กอีก คงใช้สูตรนี้เป็นหลักในการดัดแปลงทำขนมอื่นๆ

     แต่ทว่า... หากเมื่อใดเจอสูตรที่ดีกว่า ติ๊กก็พร้อมจะเปลี่ยนใจทันทีเหมือนกัน แต่เฉพาะเรื่องสูตรขนมน้า ถ้าเป็นเรื่องความรักติ๊กเป็นคนหนักแน่นมั่นคง (แหม...เริ่มนอกเรื่องไปไหนเสียแล้วเรา )



เอาละค่ะมาเข้าเรื่องสูตรกันเลย สูตรเดิม Baking with mi สัดส่วนจะเหมาะสำหรับพิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว แต่ติ๊กนำมาดัดแปลงลดทอนลงเป็นสูตรสำหรับ 2 ปอนด์ ใช้พิมพ์วงกลมขนาด 7 นิ้ว โดยมีส่วนผสมดังนี้

ส่วนผสมที่ 1
  1. เนยสดจืด 50 กรัม
  2. แป้งเค้ก 65 กรัม
ส่วนผสมที่ 2
  1. นมสด 65 กรัม
  2. ไข่แดง 5 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  3. ไข่ขาว 1/2 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  4. วนิลลาสกัด 1/2 ช้อนชา
  5. ส้มสกัด 1 ช้อนชา (ไม่จำเป็นแล้วแต่ชอบ)
  6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
ส่วนผสมที่ 3 
  1. ไข่ขาว 4 + 1/2 ฟอง (ใช้ไข่เบอร์ 2)
  2. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  3. ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/4 ช้อนชา (หรือน้ำมะนาวทดแทนกันได้)
วิธีทำ
  1. เตรียมพิมพ์วงกลม 2 ปอนด์ วางกระดาษรองอบที่ก้นพิมพ์ ไม่ต้องทาไขมันใดๆ
  2. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศา ใช้ไฟบนล่าง
  3. ทำการร่อนแป้งเค้กให้เรียบร้อย เตรียมเอาไว้ก่อน
  4. นำเนยสดใส่หม้อ นำไปต้มจนเดือดและปิดไฟ แล้วนำลงจากเตาทันที อย่าวางบนเตานะคะ
  5. คนเนยละลายให้ความร้อนกระจายตัวสัก 5-6 รอบ และใส่แป้งเค้กที่เราร่อนเอาไว้แล้วลงไป 
  6. ผสมแป้งกับเนยให้เข้ากัน จนเนื้อแป้งมีความนุ่มเนียน ขั้นตอนนี้ใช้สปาตูล่าจะผสมได้ดีกว่า
  7. เทนมสดใส่ลงไปในแป้ง เพื่อลดอุณหภูมิแป้งลง ผสมให้เข้ากันดี
  8. เตรียมส่วนผสมไข่แดง ไข่ขาว วนิลลา ส้มสกัด เกลือ ตีให้เข้ากันก่อน แล้วค่อยเทลงในโถผสมแป้ง ติ๊กได้เปลี่ยนเป็นใช้ตะกร้อมือในการผสมแทนจะผสมได้ง่ายขึ้น เมื่อผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้วให้พักแบทเทอร์เอาไว้ก่อน
  9. เตรียมทำเมอแรงค์ สูตรนี้ติ๊กใช้สปีด 2 โดยตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองหยาบ และใส่ครีมออฟทาร์ทาร์ลงไป ตีต่อจนไข่ขึ้นเป็นฟองละเอียด ให้ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปจนหมด
  10. ตีไปเรื่อยๆ จนเป็นเนื้อครีมละเอียดเป็นรอยตะกร้อ ให้หยุดตีแล้วเช็คดูว่าตั้งยอดอ่อนดีหรือไม่ ถ้าลักษณะครีมยังดูเหลว ยังไม่ทรงตัวดี ให้ตีต่ออีกสักหน่อยให้ได้ยอดที่ Firm peak *ถ้าเมอแรงค์ที่ได้ไม่แข็งแรงพอ เค้กที่อบสุกแล้วจะยุบตัวลง*
  11. เมื่อได้เมอแรงค์ตามที่ต้องการ ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน นำไปผสมกับส่วนผสมแป้ง ตะล่อมให้เข้ากันดี เมื่อเข้ากันดีแล้วให้ตะล่อมต่ออีกสัก 10-15 รอบ เพื่อให้ส่วนผสมเนียนยิ่งขึ้น
  12. เทแบทเทอร์ลงพิมพ์ ให้เทลงเบาๆ ค่อยๆเท จะช่วยตัดฟองอากาศใหญ่ๆได้ดี
  13. กระแทกพิมพ์ 5 ครั้ง ไล่ฟองอากาศ ติ๊กได้ใช้ไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มวนๆในเนื้อแบทเทอร์ เพื่อตัดฟองอากาศอีกรอบ (สามารถใช้ส้อม ไม้จิ้มฟันแทนก็ได้ค่ะ) และจากนั้นก็กระแทกพิมพ์อีกรอบ
  14. เตรียมถาดรองอบ เทน้ำร้อนใส่ลงไปถาด ถาดที่ติ๊กใช้เป็นถาดมากับเตาอบขนาด 12x14 นิ้ว ติ๊กเทน้ำร้อนสูง 0.5 ซม. ตามสูตรต้นฉบับติ๊กเห็นเขาใช้ถาดประมาณ 9x9 นิ้ว เทน้ำร้อนสูง 1 ซม. ค่ะ
  15. จากนั้นนำเข้าเตาอบ ใช้ไฟบนล่างด้วยอุณหภูมิ 170 องศา อบเป็นเวลา 15 นาที แล้วลดระดับไฟลงเหลือ 150 องศา อบต่ออีก 30 นาที *ในช่วง 20 นาทีหลัง หน้าเค้กติ๊กเห็นรอยปริแตกเล็กน้อย ติ๊กเปิดฝาเตาให้ความร้อนระบายออกมาแล้วปิดฝาทันที จากนั้นเปลี่ยนอบเป็นไฟบนอย่างเดียวด้วยอุณหภูมิเดิม จนเค้กสุก *ติ๊กไม่ได้ใช้ไฟล่างเหมือนทุกที เพราะยิ่งใช้ไฟล่างเหมือนยิ่งดันเนื้อแบทเทอร์ปะทุขึ้นมา เลยใช้ไฟบนแทนในการแก้ปัญหา แล้วพบว่าสามารถทำให้เค้กด้านบนสุกได้ดี โดยหน้าเค้กไม่ปริแตกเพิ่มแต่อย่างใดค่ะ
  16. เมื่ออบสุกดีแล้ว นำเค้กออกจากเตา พักทิ้งเค้กไว้ในพิมพ์สักครู่ จนกว่าขอบเค้กจะเริ่มร่อนหลุดออกจากพิมพ์ ให้ทำการแซะขอบพิมพ์โดยรอบ และคว่ำเค้ก แต่ถ้าพักเค้กไว้จน 10 นาทีก็แล้ว ขอบเค้กไม่ร่อนออกก็ให้แซะออกนะคะ
  17. ดึงกระดาษรองอบที่ก้นเค้กออก และพลิกด้านหน้าเค้กขึ้นมา อย่าคว่ำนานหน้าเค้กจะติดกระดาษได้ เพราะเค้กมีความชื้นอยู่
     เค้กที่อบได้จะมีความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ ถ้าเค้กเปียกแฉะชุ่มน้ำ แสดงว่าใส่น้ำรองอบเยอะเกินไป หรือไม่ก็น้ำซึมเข้าไปในพิมพ์ กรณีที่อบโดยวางพิมพ์ในน้ำควรนำฟอยด์ห่อหุ้มพิมพ์ให้มิดชิด หรือวางบนผ้าขนหนูในการรองอบ

     เค้กชนิดนี้สามารถตัดเสิร์ฟทานได้ทันที ตัดทานเลยเค้กจะชุ่มชื้น นุ่มเนียนละลายในปาก อร่อยมากทีเดียวค่ะ

     ในการเก็บเค้ก ควรพักทิ้งเค้กจนเย็นตัวลง ค่อยนำไปเก็บลงในภาชนะให้มิดชิด และควรเก็บในตู้เย็นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา




ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ชิฟฟ่อนเค้กมะพร้าวอ่อน

สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ติ๊กจะชวนทุกคนมาลองทำชิฟฟ่อนเค้กมะพร้าวอ่อน สูตรแม่เดียร์ค่ะ เป็นสูตรที่อร่อยมากๆ อีกหนึ่งสูตร ย้อนไปหลายปีก่อนสูตรนี้ฮิตมาก เป็นเมนูอมตะที่ทำขายก็ดี ทำแจกใครก็เป็นที่ชื่นชอบ ติ๊กรับประกันสูตรนี้อร่อยแน่นอน 99% อีก 1% ละไว้ให้สำหรับคนไม่ชอบทานมะพร้าวนะจ๊ะ


เรามาดูสูตรชิฟฟ่อนมะพร้าวอ่อน สูตรแม่เดียร์กันค่ะ
พิมพ์ที่ใช้พิมพ์ฟอยกลมเบอร์ 3207 (1 สูตรได้ 7 ถ้วย)

ส่วนผสมแห้ง
  1. แป้งเค้ก 70 กรัม (ติ๊กร่อนแป้งเค้กด้วยกระชอนถี่ไว้ก่อนแล้ว 1 รอบ ก่อนที่จะนำมาร่อนลงในโถผสมค่ะ)
  2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา (สูตรเดิมใช้ 1/2 ช้อนชาค่ะ ติ๊กปรับใส่น้อยลง)

ส่วนผสมของเหลว
  1. ไข่แดง 3 ฟอง (เบอร์ศูนย์)
  2. น้ำตาลทราย 10 กรัม (สูตรเดิม 25 กรัม ติ๊กลดลงไป แต่ไปใส่เพิ่มตอนตีไข่ขาวแทน)
  3. น้ำมะพร้าว 60 กรัม
  4. น้ำมันมะพร้าว 20 กรัม 
  5. น้ำมันทานตะวัน 30 กรัม
ในสูตรบอกใช้น้ำมันพืช ติ๊กเลยเลือกใช้น้ำมันมะพร้าวใส่ไป แต่ไม่ได้ใส่เต็มสููตร เพราะเคยใส่แล้วเค้กที่อบได้เนื้อฉ่ำมาก และมีกลิ่นมะพร้าวฉุนไปค่ะ เลยปรับสัดส่วนเติมน้ำมันทานตะวันผสมไปด้วย

ตามสูตรนี้ไม่ต้องใส่กลิ่นวนิลลา และกลิ่นมะพร้าวแล้วนะคะ เพราะเราได้กลิ่นจากตัวน้ำมะพร้าว และ น้ำมันมะพร้าว อบแล้วหอมมากๆ จนไม่ต้องเติมกลิ่นใดๆเพิ่มเติมเลย

ส่วนผสมเมอแรงค์
  1. ไข่ขาว 3 ฟอง (เบอร์ศูนย์)
  2. น้ำตาลป่น 70 กรัม
  3. ครีมออฟทาทาร์ 1/4 ช้อนชา (หรือน้ำมะนาวทดแทนกันได้ค่ะ)
ท้อปปิ้ง 
  1. เนื้อมะพร้าวอ่อนตามชอบ

วิธีทำชิฟฟ่อนเค้กมะพร้าว

  1. วอร์มเตาอบด้วยไฟ 170 องศา
  2. ร่อนแป้งเค้กด้วยกระชอนถี่เตรียมไว้ก่อนนะคะ จะได้ผสมกับไข่แดงได้ง่ายแป้งจะได้ไม่จับเป็นก้อน
  3. ตีไข่แดงกับน้ำตาลทราย ติ๊กเลือกใช้น้ำตาลทรายเพราะจะได้ใช้เวลาในการตีนานพอ ที่จะทำให้น้ำตาลละลายเกือบหมด ไข่แดงก็จะเป็นสีเหลืองนวล ทำให้ผสมกับแป้งได้ง่ายขึ้นค่ะ แต่ก่อนติ๊กทำชิฟฟ่อนเค้ก ก็ไม่ได้ตีไข่แดงกับน้ำตาลให้เป็นครีมหรอกนะคะ พึ่งจะมาทำเอาหลังๆนี่เอง เพราะไปเห็นพวกช่องยูทูปญี่ปุ่นเขาทำกัน เลยลองบ้าง แล้วพบว่าส่วนผสมเข้ากันง่ายดี แป้งไม่จับตัวเป็นก้อนกับไข่แดง
  4. เมื่อตีไข่แดงกับน้ำตาลละลายดีแล้ว ใส่น้ำมะพร้าว และน้ำมันลงไปผสมให้เข้ากัน
  5. ร่อนแป้ง ผงฟู เกลือ ลงไป และตะล่อมให้เข้ากันจนไม่เห็นแป้งเป็นเม็ดๆ ก็หยุดค่ะ ถ้าคนนานๆ แป้งจะเหนียวได้ค่ะ แล้วเราก็พักแป้งเอาไว้ก่อนนะคะ
  6. มาทำเมอแรงค์กันต่อค่ะ นำไข่ขาวมาตีด้วยสปีด 3 ตีจนขึ้นเป็นฟองหยาบ และใส่ครีมออฟทาทาร์ หรือ น้ำมะนาวลงไป ตีต่อจนไข่ขึ้นเป็นฟองละเอียด ก็ทะยอยใส่น้ำตาลป่นลงไปค่ะ ตีไปเรื่อยๆจนไข่ขาวจะมีความเงาขึ้น และเนื้อละเอียดมีลักษณะเป็นครีม เราจะเริ่มเห็นรอยตะกร้อตีจางๆ ก็ให้ทำการหยุดตี เช็คเมอแรงค์ ซึ่งจุดนี้เมอแรงค์ตั้งยอดอ่อนได้แล้วนะคะ แต่ว่าอาจจะอ่อนปวกเปียกแบบเหลว ไม่แข็งแรง 
  7. ให้เดินเครื่องตีต่อจนเราเริ่มเห็นรอยตะกร้อชัดขึ้น ตรงจุดนี้ให้ระวังในการตีนะคะ รอยตะกร้อยิ่งชัดมาก แสดงว่าเมอแรงค์ก็ยิ่งเฟิร์มมากขึ้น ถ้าตีมากเกินไปฟองอากาศจะเยอะมาก ตีให้ได้จุด Firm Peak ก็เป็นอันใช้ได้ค่ะ 
  8. เมื่อได้เมอแรงค์ตามที่ต้องการ ก็นำแบ่งใส่ 3 ส่วน ผสมลงในส่วนผสมของแป้งที่เตรียมไว้เมื่อสักครู่ ทำการตะล่อมให้เข้ากัน เมอแรงค์ที่ตีได้ที่จะผสมง่ายมาก และไม่ยุบตัวง่ายนะคะ
  9. เมื่อผสมเข้ากันไม่เห็นไข่ขาว ให้ตะล่อมปาดก้นโถ และด้านข้างต่ออีกสัก 10-15 รอบ ให้เนื้อเนียนยิ่งขึ้น และให้แน่ใจว่าผสมไข่ขาวได้ดีแล้วจริงๆ
  10. เทแบทเทอร์ลงในพิมพ์ ติ๊กใช้พิมพ์ฟอยด์กลม อบพวกทาร์ตพาย เบอร์ 3207 เทแบทเทอร์ลงไป 4/5 ของพิมพ์ เวลาอบออกมาเค้กจะขึ้นฟูเต็มขอบสวยงามพอดีเป๊ะค่ะ
  11. ติ๊กใช้ไม้จิ้มฟัน มาวนๆ แบทเทอร์เป็นการตัดฟองอากาศใหญ่ และเกลี่ยแบทเทอร์ให้กระจายตัว เมื่อวนเสร็จแล้วให้กระแทกพิมพ์ 3-5 ครั้งไล่ฟองอากาศอีกทีนะคะ (ในคลิปติ๊กลืมกระแทกพิมพ์ เลยทำให้มีฟองอากาศใหญ่อยู่ก้นเค้ก)
  12. นำเนื้อมะพร้าวมาตกแต่งด้านหน้าเค้กตามใจชอบค่ะ
  13. จากนั้นนำไปอบ ติ๊กอบไฟล่าง 170 องศาเป็นเวลา 8 นาที และเปลี่ยนเป็นไฟบนล่าง อบต่ออีก 5 นาที เพื่อให้หน้าเค้กสวย
  14. เมื่อเค้กสุกดีแล้ว ให้นำออกจากเตา พักทิ้งเค้กบนตะแกรงให้เย็น ก็ปิดฝาได้เลยค่ะ
ควรเก็บเค้กมะพร้าวอ่อนในตู้เย็นนะคะ เพราะเราใส่น้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าว จะทำให้เค้กนี้เสียได้ง่าย ควรเก็บในตู้เย็นตลอดเวลาจนกว่าจะทาน



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking



วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ซาลาเปาไส้หมูสับ


สวัสดีทุกคนค่า จากคราวก่อนที่ติ๊กได้ทำหมั่นโถวไป และได้แบ่งแป้งโดว์ครึ่งนึงมาเก็บไว้ เพื่อมาทำซาลาเปาใส่ไส้หมูสับ วันนี้ติ๊กก็ได้เตรียมเครื่องหมูสับไว้พร้อมแล้ว ก็เลยมาชวนทุกคนมาเข้าครัวอีกครั้ง มาทำซาลาเปาไส้หมูสับกันค่า



ในสูตรนี้ ติ๊กจะไม่กล่าวถึงตัวแป้งซาลาเปาแล้วนะคะ ว่าทำอย่างไร สามารถดูสูตรแป้งได้ที่ http://www.msandmrsbrown.com/2017/05/chinese-stream-bun-ep1.html

สูตรไส้หมูสับ *จะทำได้ 18 ลูก พอดีกับสูตรแป้งซาลาเปา*
  1. หมูสับ 400 กรัม (ควรอยู่ในอุณหภูมิเย็นจัด ให้นำไปแช่ฟรีชสัก 1-2 ชั่วโมงก่อนนำมาใช้)
  2. กระเทียมโขลก 15 กรัม
  3. รากผักชีโขลก 5 กรัม
  4. หอมแดงสับละเอียด 20 กรัม
  5. ต้นหอมซอย 10 กรัม
  6. ซี้อิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  7. ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  8. ผงปรุงรสหมู 1 ช้อนชา
  9. พริกไทยขาว 1/2 ช้อนชา
  10. พริกไทยดำ 1/2 ช้อนชา
  11. น้ำตาลป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  12. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  13. ผงฟู 1/4 ช้อนชา
  14. น้ำมันงา (ใส่ตามชอบแต่ไม่จำเป็น)
  15. เหล้าจีน (ใส่ตามชอบแต่ไม่จำเป็น)

วิธีทำไส้หมูสับ
  1. นำทุกอย่างมาผสมกัน และนวดให้เนื้อหมูสับมีความเหนียวหนึบ แล้วพักไว้ในตู้เย็นจนกว่าจะนำออกมาใช้
  2. แบ่งแป้งโดว์ก้อนละ 40 กรัม ปั้นเป็นวงกลมให้เรียบร้อย แล้วให้หยิบแป้งมาขึ้นรูปโดยเรียงจากก้อนที่เราปั้นเสร็จก่อนตามลำดับ
  3. ติ๊กขึ้นรูปรอบละ 3 ลูก นำแป้งออกมารีดเป็นแผ่นวงกลม โดยให้รีดขอบแป้งบางกว่าตรงกลาง *ถ้าแป้งโดว์ติดไม้โรล หรือ โต๊ะ สามารถใช้แป้งซาลาเปาโรยแป้งโดว์ได้เท่าที่จำเป็น*
  4. ตักไส้หมูสับประมาณ 1 ช้อนโต๊ะพูนเล็กน้อย ต่อ 1 ลูก ก็จะใส่ได้พอดีกับสูตรแป้ง 18 ลูก สามารถใส่ไข่เค็ม ไข่ต้ม กุนเชียง เห็ดหอม ได้ตามชอบ
  5. จากนั้นก็ห่อซาลาเปา จะห่อแบบไหนก็ได้ ตามที่เราถนัด แต่ต้องห่อปิดปากซาลาเปาให้สนิทดี เพื่อไม่ให้ตอนพักแป้ง และตอนนึ่งแป้งซาลาจะพองตัวดันออก ทำให้ซาลาเปาปากอ้าแตกไม่สวย *ด้วยที่สูตรนี้ไม่ใช่ซาลาเปาหน้าแตก ดังนั้นเมื่อแป้งถูกดันให้แตกออก มันจะแตกไม่สวย จะดูเหมือนซาลาปากอ้ามากกว่า*
  6. เมื่อห่อไส้ครบทุกลูก ก็พักแป้ง 30-40 นาที หรือจนแป้งโดว์ขึ้นฟู 80% ของเท่านึง ระหว่างนี้อย่าลืมไปต้มน้ำในลังถึงรอไว้เลยค่ะ
  7. เมื่อแป้งโดว์ขึ้นฟูดีแล้ว ก็นำไปนึ่ง นึ่งไฟแรงปานกลาง 12 นาที ระหว่างนึ่งห้ามเปิดฝาซึ้งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นซาลาเปาจะยุบฟีบและติดเหลือง
  8. นึ่งเสร็จแล้ว ให้ปิดเตา นำซาลาเปาออกจากซึ้ง หรือจะพักไว้ในซึ้งก่อนก็ได้ โดยให้เราเปิดฝาหม้อเพื่อระบายความร้อนในซึ้งออกมา นำผ้ามาเช็ดฝาด้านในให้แห้งก่อนจะปิดฝาอีกครั้ง 

*ไม่ควรพักซาลาเปาทิ้งไว้ในซึ้งนานเกินชั่วโมง อาจทำให้ซาลาเปาแฉะได้
*การเก็บซาลาเปา นำซาลาเปาออกมาพักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิท แล้วเก็บใส่ถุงหรือภาชนะให้มิดชิด แล้วเก็บใส่ตู้เย็น เนื่องจากเป็นซาลาเปาใส่ไส้ ไม่ควรเก็บตู้เย็นนานเกิน 3 วัน 
*ถ้าทำเยอะทานไม่หมด ให้นำไปแช่ฟรีช สามารถยืดอายุการเก็บได้นานเป็นเดือน เมื่อต้องการจะทานก็นำออกมาวางไว้ในอุณหภูมิห้องจนหายแข็ง แล้วนำไปเวฟพร้อมกับน้ำร้อนจัดไม่เกิน 1 นาที ก็ได้ซาลาเปาร้อนๆ อร่อยเหมือนเดิมค่ะ






ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ซาลาเปา (หมั่นโถว)

สวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้ติ๊กจะชวนทุกคนมาทำซาลาเปาไร้ไส้ หรือที่เราเรียกกันว่า "หมั่นโถว" ค่ะ อันที่จริง ติ๊กตั้งใจว่าจะทำซาลาเปาไส้หมูสับนะคะ แต่ว่าไม่มีเวลาจัดเตรียมไส้เลย วันนี้ก็เลยทำแต่แป้งก่อนค่ะ


สูตรนี้เป็นสูตรที่อยู่บนฉลากถุงแป้งซาลาเปายี่ห้อมัมเมดค่ะ แต่ติ๊กมีดัดแปลงนิดนึง ซึ่งติ๊กจะบอกไว้ในสูตรให้นะคะ ว่าดัดแปลงอะไร ถึงแม้ว่าจะเป็นสูตรของแป้งมัมเมด แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้แป้งเขาก็ได้นะคะ จะใช้แป้งของยี่ห้ออะไรบ้าง ก็แล้วแต่ชอบเลยค่ะ

ถ้าให้ติ๊กแนะนำ ติ๊กบอกได้แค่ว่าเคยใช้แต่แป้งซาลาเปายี่ห้อมัมเมด และ กิเลนเหลือง ซึ่งก็ทำซาลาเปาออกมาได้ดี ผิวขาว เนื้อนุ่มเด้ง ไม่ติดฟันค่ะ

นอกจากแป้งแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้ซาลาเปาเหลือง และติดฟันนะคะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าใช้แป้งดี ราคาแพง แล้วซาลาเปาจะออกมาขาวสวยเนื้อนุ่มเด้งไม่ติดฟัน เพราะสำคัญที่ขั้นตอนการทำด้วยค่ะ

ซาลาเปาสูตรนี้จะเป็นการผสมแป้ง 2 ขั้นตอนนะคะ โดยเริ่มแรกเราจะทำแป้งสปองจ์กันก่อนค่ะ

ส่วนผสมแป้งสปองจ์
  1. แป้งซาลาเปา 250 กรัม (ในคลิปใช้ยี่ห้อมัมเมด แต่จะใช้กิเลนเหลืองก็ได้เหมือนกันค่ะ)
  2. ยีสต์ 5 กรัม (ติ๊กใช้ยีสต์หวาน)
  3. น้ำอุ่น 150 กรัม

วิธีทำแป้งสปองจ์
  1. ร่อนแป้งซาลาเปาลงในโถผสม แล้วใส่ยีสต์ลงไป ตามด้วยน้ำอุ่น
  2. นวดส่วนผสมให้เข้ากันเป็นก้อนเดียว ติ๊กใช้เครื่องในการช่วยนวด ขั้นตอนนี้ใชัเวลาไม่นานค่ะ ประมาณ 2-3 นาที ทุกอย่างก็เข้ากันได้ดี แต่ยีสต์จะยังไม่ละลายค่ะ
  3. จากนั้นก็พักแป้งสปองจ์ 1-1.30 ชั่วโมง อย่างน้อยๆก็ต้องมี 1 ชั่วโมงนะคะ และต้องให้ขึ้นฟู 2-3 เท่า ถึงจะนำมาใช้นวดแป้งโดว์ค่ะ
  4. นำพลาสติกถนอมอาหาร มาปิดคลุมภาชนะที่ใส่แป้งสปองจ์ให้มิดชิด ไม่ให้อากาศเข้าค่ะ หรือจะเป็นผ้าชื้นๆก็ได้

ส่วนผสมแป้งโดว์
  1. แป้งซาลาเปา 150 กรัม
  2. น้ำตาลป่น 90 กรัม
  3. ผงฟู 2 กรัม (ใช้ยี่ห้ออิมพีเรียล) (สูตรเดิมใช้ 6 กรัม) *ที่ลดผงฟูเพราะรู้สึกว่าใส่เยอะๆ แล้วมันทำให้สีซาลาเปามันติดเหลือง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึป่าวนะค่ะ แต่ถึงอย่างไร แม้ติ๊กจะลดผงฟูลง ซาลาเปาที่นึ่งได้ก็ฟู นุ่มเด้ง ทานแล้วไม่ติดฟันค่ะ*
  4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  5. น้ำเปล่า 60 กรัม (สูตรเดิมน้ำเปล่า 50 กรัม และใช้ไข่ขาวอีก 10 กรัม) *ติ๊กเปลี่ยนไข่ขาวเป็นน้ำสะดวกกว่าค่ะ ขี้เกียจตอกไข่ค่า*
  6. เนยขาว 25 กรัม

วิธีทำแป้งโดว์
  1. นำแป้งสปองจ์ที่หมักได้ที่แล้ว มาชกไล่ฟองอากาศบางส่วนออก
  2. เตรียมแป้งซาลาเปา ผงฟู เกลือ น้ำตาลป่น นำมาคลุกให้เข้ากัน แล้วร่อนลงในโถผสม
  3. ใส่น้ำเปล่าลงไป แล้วนวดให้ทุกอย่างเข้ากันดี
  4. เมื่อนวดเข้ากันดีแล้ว ใส่เนยขาวลงไปนวดต่อ นวดจนแป้งโดว์เนียน 
  5. ติ๊กใช้เครื่องนวด เลยสังเกตุจากตัวแป้งโดว์ ถ้าแป้งไม่แฉะติดก้นโถ หรือแป้งหลุดร่อนจากก้นโถผสม ถือว่าใช้ได้แล้วค่ะ ติ๊กจะปิดเครื่องทันที
  6. เช็คแป้งโดว์ว่านวดได้ที่หรือยัง โดยทำการดึงแป้งออกมาส่วนนึง มาลองขึงเป็นฟิล์ม ถ้าขึงได้ถือว่าใช้ได้ค่ะ *แป้งโดว์ที่ได้ จะมีความชุ่มชื้น แป้งจะนุ่มมาก และยืดหยุ่น คล้ายหมากฝรั่งค่ะ ดูได้จากในคลิปนะคะ*
  7. นวดเสร็จแล้ว นำแป้งโดว์มาพักไว้ประมาณ 10 นาที หาอะไรมาคลุมปิดแป้งด้วยค่ะ เดี๋ยวแป้งจะแห้ง
  8. เมื่อพักแป้งเสร็จแล้ว ให้ตัดแบ่งแป้งก้อนละ 40 กรัม จะได้ทั้งหมด 18 ชิ้นค่ะ (น้ำหนักแป้งโดว์โดยรวม 720 กรัมค่ะ) *ถ้าแป้งโดว์หนึบติดโต๊ะมากเกินไป ใช้แป้งซาลาเปาโรยบริเวณพื้นที่ที่จะปั้นโดว์บางๆ หรือ น้ำมันทาบางๆที่โต๊ะก็ได้ค่ะ*
  9. ตัดแบ่งเสร็จแล้ว ก็ปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลมๆ และอย่าลืมนำผ้า หรือ พลาสติกคลุมแป้งด้วยค่ะ
  10. เมื่อปั้นเสร็จ ก็นำมาขึ้นรูปเลยค่ะ โดยให้หยิบแป้งชิ้นแรกที่เราปั้นนำมาขึ้นรูปก่อนค่ะ
  11. ติ๊กขึ้นรูปโดยการรีดแป้งออกเป็นวงกลม และพับแป้งด้านซ้าย และด้านขวา เข้ามาตรงกลาง และรีดแป้งอีกครั้ง จากนั้นก็ม้วนแป้งจากมุมล่างขึ้นมาด้านบน (นึกภาพไม่ออกก็ดูจากในคลิปเอาเนาะ ^^")
  12. นำแป้งที่ขึ้นรูปเสร็จแล้ว วางบนกระดาษรองซาลาเปา แต่ติ๊กไม่ได้ทำบ่อยๆ หรือทำขาย ก็เลยไม่ได้ไปหาซื้อค่ะ ใช้กระทงจีบมาใส่แทน
  13. ขึ้นรูปเสร็จแล้ว ก็พักแป้งต่ออีกค่ะ ให้แป้งขึ้นฟูเกือบ 2 เท่า ประมาณ 80% ของเท่านึงก็ได้ค่ะ เพราะตอนนึ่ง ซาลาเปาจะขยายตัวอีก ติ๊กพักแป้งไปประมาณ 35 นาที ก็จับลงหม้อนึ่งแล้วค่ะ *ติ๊กเคยพักแป้งไว้นานถึง 1 ชั่วโมง เพราะตอนนั้นทำเยอะ ทำไม่ทันเวลา ปรากฎว่าซาลาเปาที่ได้นิ่มฟูฟ่องมาก แบบพองตัวเว่อร์เลยค่ะ แป้งงี้เบามาก ทานแล้วไม่ได้อารมณ์ซาลาเปาเลย*
  14. จากนั้นนำซาลาเปามานึ่ง ติ๊กใช้ไฟแรงปานกลางนึ่งซาลาเปาค่ะ นึ่ง 12 นาที จริงๆแล้ว 10 นาทีก็สุกแล้วล่ะค่ะ แต่ที่นึ่งนานหน่อย เพื่อให้ซาลาเปามันคงรูปได้ดี *ติ๊กเคยนึ่ง 8 นาที ปรากฏว่าซาลาเปามันสุกก็จริงนะค่ะ แต่มันยังฟูไม่ดีพอ พอเปิดฝาก็ยวบค่ะ และซาลาเปาก็สีเข้มติดเหลืองเลย จากนั้นเลยเข็ด นึ่งซาลาเปานานหน่อย เพื่อความชัวร์ค่ะ*
  15. นึ่งเสร็จก็นำออกจากลังถึง เสิร์ฟทานเลยค่ะ นึ่งมาร้อนๆ ทานเลยอร่อยมาก หรือถ้าเราทำเยอะๆทานไม่หมด ก็นำมาพักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิทค่ะ แล้วค่อยเก็บใส่ถุงให้มิดชิด นำใส่ตู้เย็นอยู่ได้ 7 วัน หรือถ้าจะเก็บเป็นเดือน ก็นำไปแช่แข็งค่ะ



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ขนมปังนวดมือ

ขนมปังนวดมือ


     สวัสดีทุกคนค่า วันนี้ติ๊กจะชวนทุกคนมาอบขนมปังทานกันดีกว่า โดยสูตรวันนี้จะเป็นการทำขนมปังด้วยการนวดมือ ไม่ง้อเครื่องนวดกันจ้า

     ติ๊กขอออกตัวก่อนเลยนะ ว่าเป็นครั้งที่ 2 ที่ติ๊กนวดมือ โดยปกติติ๊กใช้เครื่องนวดขนมปังตลอด ดังนั้นติ๊กคงนวดไม่ได้เก่งได้ระดับโปรเฟสชั่นแนลนะจ๊ะ เพราะถ้าต้องมานวดด้วยมือบ่อยๆ คงแทบไม่อยากจะทำขนมปังกันเลย มันเหนื่อยแถมยังต้องมานั่งเก็บล้างอีก ติ๊กหมดแรงตั้งแต่นวดขนมปังเสร็จแล้ว แทบไม่อยากจะทำอะไรต่อเลยทีเดียว

     ก่อนจะเริ่มทำ มาว่ากันด้วยทักษะการนวดขนมปังด้วยมือของติ๊กก่อนนะคะ ซึ่งเทคนิคของติ๊กก็คือ เราอาศัยความอึดอย่างเดียวค่ะ วิธีการนวดก็ลักพักลักจำจากคลิปพวกเชฟต่างประเทศ แล้วก็เอามาทำดู ดังนั้นถ้าทำได้ตามขั้นตอน และนวดได้อย่างที่ติ๊กลงในคลิป รับรองว่าขนมปังที่เราอบเสร็จแล้ว ออกมานุ่มอร่อยแน่นอน ตอนออกจากเตาอบใหม่ๆ แล้วทานเลยเป็นอะไรที่นุ๊มนุ่ม ห๊อมหอม

     ส่วนการเก็บรักษาขนมปัง ต้องรอให้ขนมปังเย็นตัวก่อนนะคะ ถึงจะเก็บใส่ภาชนะให้มิดชิดได้ และสามารถเก็บในอุณหภูมิปกติได้แค่ 3 วัน ถ้าวันที่ 3 ยังทานไม่หมดให้ไปเก็บตู้เย็นเลยค่ะ ไม่งั้นขึ้นราแน่ๆ ถ้าเอาออกจากตู้เย็นขนมปังดูแข็ง ก็นำไปเวฟสัก 10 วินาที หรือนำไปกริล ขนมปังก็ซุปเปอร์นุ่ม หอมอร่อย เหมือนเพิ่งออกจากเตาเลยค่ะ

เอาละค่ะ เกริ่นมาเยอะแล้ว เรามาเริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่านะคะ

สูตรขนมปัง (เป็นขนมปังหวานนะคะ)


ส่วนผสมแห้ง (ส่วนที่ 1)
  1. แป้งขนมปัง 350 กรัม (ติ๊กใช้ยี่ห้อมัมเมด)
  2. ยีสต์ชนิดหวาน 5 กรัม (ติ๊กใช้ Saf instant)
ส่วนผสมแห้ง (ส่วนที่ 2)
  1. นมผง 7 กรัม (ติ๊กใช้หัวนมผงจะเข้มข้นกว่า ถ้าไม่มีจะไม่ใส่ก็ได้ แต่ขนมปังจะไม่หอมมันเท่าที่ควร)
  2. น้ำตาลทราย 70 กรัม (สูตรนี้ขนมปังจะมีรสหวานเล็กน้อย)
  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
ส่วนผสมของเหลว
  1. วิปปิ้งครีม 50 มิลลิลิตร
  2. น้ำเปล่า 150 มิลลิตร
***ของเหลวที่เป็นน้ำใช้รวมทั้งหมด 200 มิลลิลิตร***


วิธีทำขนมปัง

  1. เตรียมส่วนผสมแห้ง ส่วนที่ 1 ร่อนแป้งขนมปังใส่โถผสม และจากนั้นก็ใส่ยีสต์หวานลงไป แล้วให้ทำหลุมตรงกลางเตรียมไว้เพื่อเทของเหลว
  2. นำส่วนผสมของเหลว และส่วนผสมแห้ง ส่วนที่ 2 ผสมกัน ก็คือ วิปปิ้งครีม,น้ำเปล่า,นมผง,น้ำตาลทราย และเกลือ ผสมคนให้เข้ากันดี
  3. นำส่วนผสมข้อที่ 2 เทลงไปในส่วนผสมแห้งส่วนที่ 1 ที่เราเตรียมไว้ แล้วคลุกให้เข้ากัน จนแป้งเริ่มดูดน้ำจับตัวเป็นก้อนๆ
  4. ใช้มือนวดให้แป้งรวมตัวกันเป็นก้อนเดียว และนวดจนไม่เห็นเป็นเม็ดแป้ง ติ๊กใช้เวลาประมาณ 2 นาที หรือสังเกตุจากที่โดว์เริ่มจะแฉะติดมือ ก็หยุดนวดได้เลย
  5. จากนั้นพักแป้งเอาไว้ ให้เอาแร๊พมาปิดคลุมโดว์ให้มิดชิด พักให้โดว์ขึ้นเป็น 2 เท่า ติ๊กพักนานประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง พักครั้งแรกอาจนานกว่าพักรอบที่ 2 เพราะยีสต์ยังทำงานได้ไม่เต็มที่
  6. เมื่อโดว์ขึ้น 2 เท่าแล้ว ก็เอามือคลึงไล่ฟองอากาศออกให้หมด โดวจะแฉะติดมือ ให้โรยแป้งนวลเล็กน้อย (ติ๊กใช้แป้งนวลเป็นแป้งเค้กและใช้นิดเดียวไม่เยอะนะคะ) ติ๊กใช้วิธีการร่อนแป้ง เพราะแป้งจะละเอียด และกระจายตัวได้ดี ทำให้ไม่ต้องใช้แป้งนวลเยอะ
  7. ใส่เนยลงไปนวดให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ก็นวดๆ ขย้ำๆ จนกว่าเนยจะเข้ากันกับโดว์ โต๊ะจะลื่นหน่อยนะคะ ไม่ต้องเติมแป้งนวลแล้วนะคะ นวดๆไปยังงั้นเลยจนกว่าเนยจะซึมเข้าเนื้อจนหมด ขั้นตอนนี้น่าจะ 5 นาทีได้นะคะ (แต่ว่าเนยติ๊กเป็นเนยเย็น ก็เลยนวดยากหน่อย)
  8. พอนวดเข้ากันดีแล้ว สังเกตุว่าแป้งโดว์ยังไม่เนียนนะคะ เรายังคงนวดต่อค่ะ ขั้นตอนนี้ติ๊กเปลี่ยนวิธีการนวด เราจะใช้อุ้งมือซ้ายและขวา นวดสลับกันไปมา และรักษาจังหวะการนวดคลึงให้สม่ำเสมอ ดูในคลิปนะคะจะเห็นภาพมากขึ้น ใช้เวลานวดในขั้นตอนนี้น่าจะ 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับแรงคนนวด แต่ติ๊กแรงน้อย และนวดช้า แต่ก็รักษาจังหวะนะคะ นวดไป 15 นาทีเลยค่ะ เหนื่อยจริงๆ กว่าแป้งจะเนียนนุ่ม ขึงเป็นฟิล์มได้ *ระหว่างการนวดโดว์จะแฉะติดมือติ๊กนิดหน่อย ติ๊กโรยแป้งนวลอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็ไม่ได้ใช้แป้งนวลอีกเลย* *ถ้าคนชอบขนมปังนุ่มๆ จำเป็นอย่างมากนะคะที่ต้องนวดให้ขึงเป็นฟิล์ม ไม่เช่นนั้นขนมปังจะแห้งและแข็ง*
  9. เมื่อนวดได้ที่แล้ว ก็นำโดว์ขึ้นชั่งน้ำหนักเลยค่ะ น้ำหนักที่ได้ประมาณ 670 กรัม ตัดแบ่งออกให้ได้ 14 ชิ้น เท่าๆ กัน ตกเฉลี่ย 47-48 กรัม ต่อลูก *ในระหว่างตัดแบ่งโดว์ ให้จัดเรียงชิ้นตามลำดับการแบ่งก่อนหลังด้วยนะคะ ถ้าโดว์หนึบติดโต๊ะ ก็ให้ใช้แป้งนวลโรยที่โต๊ะและปาดแป้งออกนะคะ ก็จะช่วยให้โดว์ไม่ติดโต๊ะแล้ว และไม่ต้องเพิ่มปริมาณแป้งในโดว์ด้วย*
  10. เมื่อแบ่งโดว์เรียบร้อย ก็พักไว้ 10 นาที ให้หาอะไรคลุมไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวโดว์จะแห้งแข็ง
  11. ระหว่างรอพักแป้ง ก็เตรียมพิมพ์อบ ติ๊กใช้พิมพ์กลม 2 ปอนด์ มีแบบวงแหวน และแบบอบเค้กปกติ ใช้ 2 พิมพ์ค่ะ และก็ทาเนยขาวที่พิมพ์ให้เรียบร้อย
  12. เมื่อพักโดว์ครบเวลา ก็ขึ้นรูปกันเลย ให้หยิบชิ้นแรกที่เราตัดแบ่งชิ้นขึ้นมาขึ้นรูปก่อน ใช้นิ้วมือบีบๆคลึงๆ ไล่ลมออกจากโดว์ และพับโดว์ไขว้ไปมาจนโดว์มีความเด้ง เนื้อเรียบเนียน และเอาด้านที่เรียบที่สุดขึ้นมาไว้ด้านบน และคลึงกลม (ดูจากในคลิปนะคะ) จากนั้นก็วางลงบนพิมพ์
  13. เราจะขึ้นรูปเป็นดอกไม้ โดยวางโดว์ 6 ชิ้นเป็นวงกลมรอบนอก และใจกลางอีก 1 ชิ้น วางให้ห่างเท่าๆกันนะคะ รีบปั้น รีบวาง เพราะโดว์มันขึ้นเร็วมาก
  14. เมื่อขึ้นรูปเสร็จ ก็พักโดว์ให้ขึ้นฟูอีก 2 เท่า หรือเต็มพิมพ์วงแหวน ถ้าใช้พิมพ์วงแหวนเหมือนกันนะคะ ติ๊กใช้เวลา 30 นาที พักรอบ 2 โดว์จะขึ้นไวมาก และที่สำคัญอากาศวันนี้ร้อนมากค่ะ
  15. จากนั้นก็นำเข้าอบ ถ้าอยากให้ผิวขนมปังมีสีเข้มเงาสวย ก็ให้ทา Egg wash (ก็คือไข่แดงผสมกับน้ำหรือนม 1:1 หรือจะเจือน้ำ/นม มากกว่านั้นก็ได้แล้วแต่ชอบ)
  16. นำเข้าอบไฟล่าง 180 องศา เป็นเวลา 30 นาที ค่ะ
  17. อบเสร็จแล้ว ก็เอาออกจากพิมพ์เลยนะคะ ไม่งั้นขนมปังจะแฉะ เอาออกจากพิมพ์แล้วก็พักทิ้งให้เย็น แล้วเก็บใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด

     วันนี้ขนมปังของติ๊กดูจะสีเข้มกว่าทุกที ปกติสีจะไม่เข้มขนาดนี้ หลังๆมาเตาติ๊กชักจะอารมณ์แปรปรวน ถึงแม้เปลือกขนมปังจะเข้ม แต่ไม่ขมนะคะ ไม่ได้ไหม้ แต่เวลาทานเปลือกจะเหนียวหน่อยนึง ก็อร่อยดี
ลองทำกันดูนะคะ ก็เป็นอีกสูตรที่อร่อย และก็ไม่เกินกำลังสำหรับการนวดด้วยมือด้วยค่ะ


ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

วุ้นมะพร้าว

วุ้นมะพร้าว


     สวัสดี...ทุกคนค่า ช่วงนี้อากาศร้อนๆ จนแทบไม่อยากจะเข้าครัวอบขนมกันเลยค่ะ ติ๊กก็เลยขอคั่นเบรกมาทำขนมแบบไม่อบกันมั่งดีกว่า

     นั่นก็คือ...วุ้นมะพร้าว...จ้า ทานวุ้นช่วงอากาศร้อนๆ ก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย อร่อยสดชื่นดีนะคะ
เมนูวุ้นมะพร้าวในวันนี้ ทำไม่ยากเลยค่ะ วัตถุดิบหลักๆ ก็มีแค่ น้ำมะพร้าว ผงวุ้น น้ำตาล ก็สามารถเนรมิตวุ้นมะพร้าวแสนอร่อยได้แล้วจ้า

     เคล็ดลับในการทำวุ้นมะพร้าวของติ๊กนะคะ จะทำให้วุ้นมะพร้าวห๊อมหอมหวานธรรมชาติ และเนื้อกรอบนุ่มอร่อย มีอยู่แค่ 2 อย่างค่ะ

1. เลือกมะพร้าวน้ำหอมจากบ้านแพ้วค่ะ ใช้มะพร้าวที่มีเนื้อนะคะ เพราะมะพร้าวมีเนื้อ น้ำมะพร้าวจะมีรสหวานหอม กว่ามะพร้าวอ่อน แต่อย่าให้แก่จัดนะคะ เพราะเนื้อมะพร้าวจะแข็งค่า ถ้าเราจะเอาเนื้อมะพร้าวใส่ในสูตรวุ้นด้วย ก็ต้องหาเนื้อที่นุ่มค่ะ ดูเหมือนการคัดมะพร้าวมาทำขนมของเราจะยุ่งยากเสียนิด แต่ถ้าเรามีแหล่งซื้อ และคุ้นเคยกับเจ้าไหนเป็นพิเศษ ก็สั่งคนขายได้เลยว่าเราต้องการมะพร้าวแบบไหนค่ะ

2. การใช้ปริมาณผงวุ้นให้พอเหมาะกับของเหลวที่เราจะผสมลงไป เพราะถ้าใส่มากไป เนื้อวุ้นจะกรอบแข็งและแน่น ถ้าใส่น้อยไปก็จะนิ่ม

     สำหรับสูตรนี้ วุ้นมะพร้าวที่ได้จะกรอบนุ่มกำลังดี วุ้นมีความหอมมะพร้าวมาก รสชาติหวานน้อย ตามสไตล์ติ๊ก เป็นวุ้นมะพร้าวที่ผ่านคนชิม คนทาน มานักต่อนักแล้วนะค่ะ บอกเลยว่าอร่อยจ้า เรามาเริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่าค่ะ

สูตรวุ้นมะพร้าว

  1. น้ำมะพร้าว 3 ถ้วย
  2. น้ำตาลทราย 70 กรัม (สูตรหวานน้อย และกรณีใช้น้ำมะพร้าวมีเนื้อแบบในคลิปนะค่ะ)
  3. ผงวุ้น 2 + 1/2 ช้อนชา
  4. เนื้อมะพร้าว 2 ลูก (ตามชอบจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

วิธีทำวุ้นมะพร้าว

  1. นำน้ำมะพร้าวกับผงวุ้น นำมาผสมลงในหม้อ และคนให้ผงวุ้นกระจายตัวให้เข้ากันกับน้ำ 
  2. นำน้ำมะพร้าวไปต้มให้เดือด ระหว่างต้มให้หมั่นคนน้ำมะพร้าวอยู่เรื่อยๆ อย่าให้ผงวุ้นนอนจมก้นหม้อ จนกระทั่งน้ำเดือดให้ต้มต่อไปอีก จนกว่าผงวุ้นจะละลายหมด ให้สังเกตุจากช้อนที่เราคน เมื่อตักน้ำมะพร้าวขึ้นมามีผงวุ้นลอยอยู่หรือไม่ ติดช้อนคนหรือไม่
  3. ติ๊กใช้เวลาในการต้มหลังจากน้ำเดือดนานเหมือนกันนะคะ กว่าวุ้นจะละลายหมด แต่ติ๊กไม่ได้จับเวลา ถ้าให้ประมาณการณ์น่าจะไม่ต่ำกว่า 5 นาทีนะคะ
  4. เมื่อวุ้นละลายหมดแล้ว ให้ใส่น้ำตาลทราย และเร่งไฟให้แรงขึ้น เพื่อให้น้ำเดือด และใส่เนื้อมะพร้าวลงไป และให้น้ำเดือดจัดอีกครั้งแล้วคนๆสักพัก ก็ปิดไฟค่ะ
  5. จากนั้นก็เทใส่พิมพ์ ติ๊กใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว ค่ะ ติ๊กไม่มีพิมพ์สำหรับทำวุ้นหรอกนะคะ เวลาทำวุ้นติ๊กก็ใส่พิมพ์อบขนมนี่แหละ หรือไม่ก็พิมพ์ฟอย ใส่จาน ใส่ชาม นี่ถ้าไม่ได้ติดที่ติ๊กต้องอัดคลิปทำโชว์ ติ๊กคงใส่ชามก๋วยเตี๋ยว และคงตักทานในชามแทน...555
  6. เมื่อเทใส่พิมพ์เรียบร้อย ก็พักทิ้งไว้ให้วุ้นเซ็ตตัว และหายร้อน แล้วค่อยนำไปเก็บในตู้เย็นค่ะ

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown


วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

เค้กส้มหน้านิ่ม ในถ้วยฟอยด์

      เค้กส้ม


      เมนูวันนี้ ติ๊กได้อัดคลิปทำเค้กส้มอีกครั้ง เพื่อที่จะรีเมคใหม่ โดยการรีเมคครั้งนี้ ติ๊กเปลี่ยนจากเดิมที่เคยอบในพิมพ์กลม 3 ปอนด์ เปลี่ยนมาอบพิมพ์ฟอยด์สี่เหลี่ยมแทน เพื่อคนที่เคยติดตามดูคลิปคราวก่อนจะได้ไม่รู้สึกเบื่อจ้า สิ่งที่แตกต่างในคลิปวันนี้ ก็คือรายละเอียดของการตีเค้ก ซึ่งติ๊กคิดว่าเป็นการทำคลิปที่ละเอียดยิบมากที่สุดในบรรดาคลิปอื่นๆ ที่ติ๊กเคยโพสไป

      เรียกได้ว่าคลิปนี้ให้เป็นโบนัสกับคนที่เริ่มต้นหัดทำเค้กเลย แบบที่ว่าใครยังทำเค้กออกมาไม่ได้เสียที ติ๊กคิดว่าคลิปนี้น่าจะละเอียดพอที่จะทำให้หลายคนที่เคยท้อแท้ ผิดหวัง ทำเค้กไม่ได้ ได้มีโอกาสฮึดขึ้นมาทำดูอีกสั้งครั้ง

      คลิปที่ติ๊กลงเป็นการสาธิตแบบตามที่ติ๊กเข้าใจเองนะคะ ไม่อยากให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าติ๊กเป็นอาจารย์สอน ไม่อาจเอื้อมถึงตำแหน่งอาจารย์จ้า แค่พอทำได้แล้วนำมาแบ่งปันจ้า

      สูตรวันนี้ยังคงเป็นสูตรเดิม แต่มีปรับลดการใช้สารเสริม SP ลงไปนะคะ เรามาดูสูตรเค้กส้มกันเลย

สูตรสปันจ์เค้ก 3 ปอนด์ 

ใส่ในพิมพ์ฟอยด์เบอร์ 4618 ได้ประมาณ 12 กล่องนะคะ
  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/4 ช้อนชา
  4. ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ 3 ฟอง
  5. น้ำตาลป่น 80 กรัม
  6. นมสด 80 กรัม
  7. สารเสริม SP 10 กรัม (ลดจากของเดิมที่ใช้อยู่ 15 กรัม)
  8. น้ำมันพืช 80 กรัม (ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวัน)
  9. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา
  10. ส้มสกัด 1 ช้อนชา

วิธีทำเค้กส้ม

  1. วอร์มเตาอบที่ไฟบนล่าง อุณหภูมิที่ 180 องศา
  2. ตอกไข่ทั้งหมดในชามผสม ใส่น้ำตาลป่น และปาดสารเสริม SP ที่หัวตะกร้อ
  3. ตีด้วยเครื่องตีด้วยสปีดสูงสุด จนกว่าจะเป็นเนื้อครีมเป็นริบบิ้นสเตจ เนื้อครีมจะข้นมากๆ เช็คโดยการนำไม้พายปาดเนื้อครีมขึ้นมา จะเห็นว่าครีมจะต้องไม่ไหลย้อยเป็นสายน้ำ 
  4. ใส่วนิลลาสกัด กลิ่นส้มสกัด และ นมสด ตีด้วยความเร็วต่ำ ตีพอให้เข้ากันก็พอ
  5. นำแป้ง ผงฟู เกลือ นำมาร่อน เทลงในชามผสม และทำการตีต่อ ด้วยความเร็วต่ำ จนเม็ดแป้งละลายเนียนไปกับครีม
  6. ทะยอยใส่น้ำมัน ปรับสปีดเป็นสปีดต่ำสุด ตีเพียงให้เข้ากันเท่านั้น
  7. เทส่วนผสมลงในพิมพ์ฟอยด์ (ติ๊กใช้เบอร์ 4618) เทลงประมาณ 3/4 ของพิมพ์
  8. จากนั้นนำส้อมมายีส่วนผสม เพื่อตัดฟองอากาศใหญ่ และทำให้เนื้อเค้กที่ได้เนียนเรียบขึ้น
  9. จัดเรียงใส่ถาด นำเข้าอบไฟบนล่าง 180 องศา เป็นเวลา 10-12 นาที หรือ จนเค้กสุก
  10. เมื่ออบเสร็จ ให้พักทิ้งไว้ก่อน แล้วมาเตรียมซอสส้มราดหน้าเค้กกันค่ะ
      เอาล่ะคะ เรามาเตรียมซอสกันต่อดีกว่าค่ะ วันนี้ติ๊กใช้ซอสส้มสำหรับราดเค้ก 2 ปอนด์ แทนนะคะ เพราะว่าไม่อยากให้ซอสเหลือ แต่ถ้าใครชอบราดซอสเยอะๆ จะทำสูตร 3 ปอนด์ก็ได้ค่ะ วิธีคำนวณคือ นำสูตรข้างล่างหาร 2 และ คูณ 3 ค่ะ

สูตรซอสส้ม 2 ปอนด์

  1. น้ำส้มซันควิกเข้มข้น 90 กรัม
  2. น้ำเปล่า 300 กรัม
  3. น้ำตาลทราย 90 กรัม
  4. แป้งกวนไส้ 25 กรัม
  5. เนยสดเค็ม 25 กรัม

วิธีทำซอสส้ม

  1. ผสมน้ำส้ม น้ำเปล่า น้ำตาล และแป้งกวนไส้ คนให้เข้ากัน
  2. นำไปตั้งไฟปานกลาง เคียวซอสส้มไปเรื่อยๆ จนซอสส้มใส และ ข้นหนืดเป็นรอยตะกร้อ ให้เคี่ยวต่ออีกนิด และปิดเตา ใส่เนยสด คนให้เข้ากันดี
  3. นำซอสส้ม ราดลงบนเค้กได้ทันที ไม่ต้องพักทิ้งไว้ให้เย็น 
  4. เมื่อราดเสร็จแล้ว ให้กระแทกพิมพ์เบาๆ ไล่ฟองอากาศตัวซอสออก ซอสจะเรียบเนียนยิ่งขึ้น
  5. พักทิ้งให้เย็น แล้วนำฝามาปิด นำไปเก็บพักในตู้เย็น

ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/c/msandmrsbrowncooking

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

เค้กกล้วยตาก

เค้กกล้วยตาก Dried Banana Cake


      เมนูวันนี้ติ๊กจะมาชวนทุกคนทำเค้กกล้วยตากกันค่ะ สูตรนี้มีเคล็ดลับตรงที่ติ๊กใส่กล้วยหอมลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อเค้กมีความหอมและฉ่ำกล้วย อีกทั้งในสูตรติ๊กก็ใส่กล้วยตากแบบจัดเต็ม กัดไปกี่คำก็เจอแต่กล้วยตากเน้นๆ บอกเลยว่าเอาใจคนที่ชื่นชอบเมนูกล้วยสุดๆ ใครที่ชอบทานกล้วยห้ามพลาดเชียวนะคะ ติ๊กเชียร์ให้ลองทำดูค่ะ มันอร่อยมาก

      แต่ถ้าใครไม่ชอบกล้วยหอมก็ไม่ต้องใส่นะคะ ไม่จำเป็นค่ะ แต่ถ้าจะเติมกลิ่นกล้วยก็ให้ใส่เพียงนิดเดียว สัก 1/4 ช้อนชาก็พอนะคะ ให้หอมอ่อนๆจางๆ อย่าเยอะค่ะ มันจะไปกลบกล้วยตากเสียหมด
เรามาดูสูตรและวิธีทำเค้กกล้วยตากกันค่ะ

สูตรเค้กกล้วยตาก

  1. แป้งเค้ก 100 กรัม
  2. ผงฟู 3/4 ช้อนชา
  3. เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
  4. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  5. กล้วยหอมบด 50 กรัม (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  6. กล้วยตาก 200 กรัม (สูตรนี้จัดเต็มกล้วยตากอยู่แล้วนะคะ ไม่จำเป็นต้องใส่เพิ่ม)
  7. กรีกโยเกิร์ต 60 กรัม
  8. ไข่ไก่เบอร์ (0) 2 ฟอง
  9. น้ำตาลทราย 50 กรัม (สูตรนี้หวานน้อยค่ะ)
  10. น้ำมันพืช 50 กรัม (ติ๊กใช้น้ำมันทานตะวันค่ะ)
  11. สารเสริม SP 7 กรัม
  12. วนิลลาสกัด 3/4 ช้อนชา

วิธีทำเค้กกล้วยตาก

  1. วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ใช้ไฟบนล่าง
  2. วางกระดาษรองอบที่ก้นพิมพ์ ติ๊กใช้พิมพ์สี่เหลี่ยม 8x8 นิ้ว
  3. หั่นกล้วยตากให้บางเล็กน้อย และเป็นชิ้นเล็กๆ อย่าหั่นชิ้นใหญ่นะคะ ไม่งั้นกล้วยจะนอนจมที่ก้นพิมพ์ค่ะ
  4. ถ้าใครใช้กล้วยหอมตามสูตรนี้ ก็ให้บดกล้วยเตรียมรอไว้เลยค่ะ บดเสร็จแล้วก็ให้ผสมกับโยเกิร์ต แล้วพักทิ้งไว้ก่อน
  5. จากนั้นมาเริ่มทำเค้กกันค่ะ เริ่มจากการตีไข่ไก่ก่อน โดยให้ปาดสารเสริม SP ที่ปลายตะกร้อ ตีด้วยสปีดสูงสุดจนไข่มีลักษณะเป็นครีมเล็กน้อย ก็ให้ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปค่ะ ***ถ้าใครใช้น้ำตาลป่น สามารถใส่ลงไปตีพร้อมกันตั้งแต่แรกได้เลยค่ะ***
  6. ตีไข่จนตั้งยอด เนื้อแบทเทอร์ที่ได้จะมีลักษณะเป็นครีมสีขาวข้นมาก เมื่อนำไม้พายปาดแบทเทอร์จะเห็นว่าเป็นรอยแบทเทอร์อย่างชัดเจน และตัวครีมจะติดที่ไม้พาย ไม่เหลวเป็นน้ำ
  7. ใส่กล้วยหอม,โยเกิร์ต และวนิลลาสกัด ลงไป ปรับสปีดเป็นสปีดต่ำ ผสมเพียงแค่ให้เข้ากันดี
  8. นำแป้ง ผงฟู เบคกิ้งโซดา และเกลือ ผสมรวมกันคลุกพอเข้ากัน และแบ่งครึ่งนึงผสมลงในกล้วยตาก คลุกให้ทั่ว แล้วเทผสมลงในโถตี ตีด้วยสปีดต่ำเพียงให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งที่เหลือลงไป และตีต่อพอเข้ากัน หมั่นปาดข้างและก้นโถด้วยนะคะ
  9. ทะยอยใส่น้ำมันลงไป ตีด้วยสปีดต่ำเหมือนเดิม และตีแค่พอเข้ากันเท่านั้น หมั่นปาดข้างและก้นโถผสมด้วยนะคะ เมื่อเข้ากันดีแล้วก็หยุดตีค่ะ
  10. เทแบทเทอร์ใส่พิมพ์ และปาดแบทเทอร์ให้เท่ากัน กระแทกพิมพ์ไล่ฟองอากาศออก
  11. นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศา ใช้ไฟบนล่าง ประมาณ 15 นาที (***อุณหภูมิและระยะเวลาขึ้นอยู่กับเตาอบแต่ละบ้านนะคะ***)
  12. หลังจากอบเสร็จ ให้นำเค้กออกจากพิมพ์ และเอากระดาษรองอบออก พักเค้กให้คลายร้อน แล้วนำมาตัด


ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown
https://www.facebook.com/msandmrsbrown
https://www.youtube.com/msandmrsbrowncooking

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ฟรุตเค้ก

ฟรุตเค้ก

     สวัสดีค่ะ วันนี้ติ๊กจะมาชวนทำฟรุตเค้กค่ะ สูตรดั้งเดิมเป็นของ joy of baking แล้วติ๊กเอามาปรับนิดหน่อยตามวัตถุดิบที่มีค่ะ



     ก่อนจะเริ่มทำฟรุตเค้ก เรามาเตรียมหมักผลไม้แห้งกันก่อนนะคะ การหมักผลไม้จะทำให้ผลไม้มีความชุ่มฉ่ำและหอม และไม่ให้ผลไม้แห้งไปดูดของเหลวในตัวเค้กค่ะ
  1. ผลไม้อบแห้งตามชอบ 300 กรัม (ติ๊กใช้ ลูกเกด 100 กรัม, เชอรี่แดง 50 กรัม, แอปเปิ้ล 50 กรัม, กีวี่ 50 กรัม ของฟารีด้าซื้อใน Top ค่ะ)
  2. เหล้ารัม 100 มิลลิลิตร ใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ตามชอบค่ะ (ส่วนติ๊กใช้ Bacardi สีขาว)
  3. ส้มสกัด 1 ช้อนชา
     นำทุกอย่างมาผสมและคลุกให้เข้ากัน แล้วนำแร๊พมาซีลปิด นำไปเก็บในตู้เย็นอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ให้ผลไม้ดูดน้ำให้หมด ระหว่างการหมักให้นำผลไม้มาคลุกบ่อยๆ เท่าที่เรานึกได้นะคะ เหล้าจะได้ทั่วถึงผลไม้ทุกชิ้น
     ในสูตรนี้เหล้าและปริมาณที่ติ๊กใช้ กลิ่นเหล้าไม่ได้แรงมากค่ะ แต่ถ้าใครอยากให้เบาบางลงไปอีกก็ใช้เหล้าเพียง 50 มิลลิลิตร ผสมกับน้ำส้ม หรือ น้ำเปล่าและใส่ส้มสกัดลงไปก็ได้ค่ะ

สูตรฟรุตเค้ก

  1. แป้งเค้ก 195 กรัม
  2. ผงฟู 1 ช้อนชา
  3. เกลือ 1/2 ช้อนชา
  4. ไข่ไก่เย็น (เบอร์ 0) 3 ฟอง
  5. เนยเค็มเย็น 120 กรัม
  6. น้ำตาลทรายแดง 100 กรัม (ในวีดีโอ ติ๊กใช้ผสมกับน้ำตาลป่น เพราะน้ำตาลทรายแดงหมดค่ะ)
  7. นมสด 60 มิลลิลิตร
  8. ผลไม้อบแห้งที่หมักเหล้าไว้แล้ว
  9. อัลมอนป่น 25 กรัม (ติ๊กใช้อัลมอนด์สไลด์ไปอบให้สุก แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด)
  10. วนิลลาสกัด 1 ช้อนชา
  11. ส้มสกัด 1 ช้อนชา
วิธีทำฟรุตเค้ก
  1. วอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 150 องศา ไว้ก่อนเลยค่ะ
  2. เตรียมพิมพ์อบขนม ติ๊กใช้พิมพ์โลฟชนิดฟอยด์เบอร์ 4572 วางกระดาษรองอบไว้ที่ก้นพิมพ์ค่ะ จะได้แกะออกง่ายๆ
  3. ตีเนยด้วยสปีดต่ำ ตีให้เนยนิ่มและเนียนเล็กน้อย เนยที่ใช้เป็นเนยที่เย็นนะคะ
  4. ทะยอยใส่น้ำตาลลงไปในเนยตีด้วยสปีดสูงสุดตีให้เนยขึ้นฟูเป็นครีมสีขาวนวล ติ๊กใช้เวลาประมาณ 3 นาที
  5. ตีไข่ไก่ให้ไข่แดงและไข่ขาวเข้ากัน แล้วค่อยๆเทลงในเนย ตีด้วยสปีดสูงสุดให้ขึ้นฟู ขั้นตอนนี้ไข่ไก่กับเนยอุณหภูมิอาจไม่เท่ากัน ทำให้ส่วนผสมเข้ากันยากนะคะ เพราะเนยถูกตีจนคลายเย็นแล้ว พอใส่ไข่ไก่ซึ่งเป็นของเหลวและมีองค์ประกอบของน้ำจะทำให้ไขมันเป็นลิ่มๆ 
  6. สังเกตุว่าในคลิปวีดีโอติ๊กก็พบปัญหา ถ้าส่วนผสมเป็นแบบนี้ เราตีแค่พอเข้ากันแล้วหยุด เพราะยิ่งตีก็ยิ่งแยกชั้นค่ะ 
  7. เนื่องจากส่วนผสมไม่เข้ากัน ติ๊กจึงใส่วนิลลาสกัด ส้มสกัด แล้วเติมแป้งลงไปสัก 1-2 ช้อนโต๊ะพูน ตีด้วยสปีดต่ำ ผสมให้เนียนเข้ากันก่อนค่ะ
  8. จากนั้นใส่นมลงไปครึ่งนึงค่ะ ตีสปีดต่ำพอให้เข้ากัน
  9. ใส่ผลไม้อบแห้ง อัลมอนด์ป่น และแป้งลงไปครึ่งนึง ตีด้วยสปีดต่ำให้พอเข้ากัน
  10. ใส่นมส่วนที่เหลือ ลงไปผสมพอเข้ากัน และจากนั้นก็ใส่แป้งที่เหลือลงไปตีให้เพียงเข้ากัน
  11. นำแบทเทอร์เทลงในพิมพ์ ปาดหน้าให้เรียบ และกระแทกพิมพ์ไล่ฟองอากาศ
  12. นำเข้าอบไฟล่าง 150 องศา ประมาณ 40 นาที ให้เค้กเกือบสุกก่อน แล้วค่อยปรับไฟบนล่าง 180 องศา อบต่ออีก 5-10 นาที ให้ผิวหน้าเค้กสวย
  13. เมื่ออบเค้กเสร็จแล้วนำเค้กออกจากพิมพ์ แล้วทาแยมที่ผิวเค้กให้ทั่ว ทาตอนเค้กร้อนๆได้เลยค่ะ ถ้าเราไม่ทาแยมผิวเค้กจะแห้งและไม่สวยเหมือนกับร้านที่เขาทำขายกันนะคะ

ส่วนผสมแยมทาผิวฟรุตเค้ก

  1. แยมแอปริคอต 1 ช้อนโต๊ะ
  2. น้ำส้มซันควิก 1/2 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  5. เหล้ารัม 1/2 ช้อนชา
     เมื่อเราทาแยมเสร็จแล้ว ให้พักเค้กให้เย็นก่อนนะคะ ถ้าเราห่อแร๊พเก็บตอนร้อนๆ เค้กจะแฉะ เมื่อเค้กหายร้อนเราก็ทาแยมอีกรอบ แล้วค่อยแร็พเค้กปิดให้มิดชิดไม่ให้อากาศเข้า แล้วนำเก็บใส่ตู้เย็นพักไว้ 1 คืน ก่อนนำมาตัดเสิร์ฟ เค้กจะหอมชุ่มฉ่ำมากขึ้นกว่าวันแรกที่เราอบ



ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สังขยาชาไทย

สังขยาชาไทย       

       สวัสดีทุกคนจ้า จากคราวก่อนติ๊กได้นำเสนอเค้กชาไทยหน้านิ่มไป แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้สวยงามเพอร์เฟ็ค แต่รสชาตินั้นโดนใจติ๊กมาก รวมถึงผู้โชคดีที่ได้รับเลือกได้ชิมเค้ก ก็ล้วนบอกว่าอร่อยเข้มข้นชามาก (ชมกันหมดเลย หรือว่าเขาพูดปลอบใจ เอาใจเรารึป่าวกันน้า) แต่ส่วนตัวติ๊กก็ว่ามันอร่อยนะ
       เอาละค่ะมาเข้าเรื่องเมนูวันนี้ดีกว่าค่ะ ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบชานะคะ ก็แหมชาถุงนึงมันเยอะอ่ะค่ะ ก็ต้องหาเมนูทำไปเรื่อยจนกว่าจะหมดอ่ะนะค่ะ นอกจากชาไทยแล้ว ติ๊กยังมีตุนวัตถุดิบชาเขียวด้วยนะค่ะ ยังหาฤกษ์ยามทำไม่ได้เลย ของเต็มตู้รกไปหมด
       เริ่มเวิ่นเว้อไปไกลล่ะ ตัดบทเข้าเรื่องเลยค่ะ วันนี้ติ๊กจะมานำเสนอเมนูสังขยาชาไทยค่า
ก่อนหน้านี้ ติ๊กเคยลงคลิปสังขยาใบเตยไปแล้ว แต่คลิปนั้นเป็นอะไรที่ติ๊กเพิ่งหัดทำคลิปวีดีโอใหม่ๆ นำเสนอคลิปได้งงๆ งวยๆ วันนี้มาแก้ตัวใหม่ค่ะ สูตรนี้เป็นสังขยาที่ใช้แป้งนะคะ จะไม่เลี่ยนแบบสูตรไร้แป้งเหมือนคราวก่อน รับรองค่ะว่าเป็นสังขยาที่ทำได้ง่ายมาก ไม่ต้องใช้วัตถุดิบอะไรเยอะค่ะ



สูตรสังขยาชาไทย

ขั้นตอนที่ 1 ชงชากันก่อน ชงแบบไหนก็ได้นะค่ะ ไม่ต้องตามคลิปก็ได้ ใครมีอุปกรณ์ชงชาก็จัดได้เลยค่ะ พอดีที่บ้านติ๊กไม่มีอุปกรณ์ตัวช่วย ก็ชงแบบตามคลิปอ่ะจ๊ะ
     1. ผงชา 4 ช้อนโต๊ะ ประกอบไปด้วย
          - ผงชาซีลอน (ยี่ห้อช้างทอง) 1.5 ช้อนโต๊ะ
          - ผงชา 555 (ยี่ห้อช้างทอง) 2.5 ช้อนโต๊ะ
     2. น้ำร้อน 200 กรัม (น้ำที่ต้มเดือดค่ะ)
          ***ใครจะเปลี่ยนยี่ห้อ หรือเพิ่มปริมาณชาก็ได้นะคะ ตามที่ตนเองชอบเลย ผงชามีผลต่อความหอมจ้า***

วิธีการชงชา
  1. ใส่ผงชาทั้งหมดลงไปในน้ำร้อน แช่ทิ้งไว้ 4-5 นาที ห้ามเกินนี้
  2. เมื่อครบเวลานำมากรองกากชาออก ด้วยผ้าขาวบางที่ลวกน้ำร้อนแล้ว
ขั้นตอนที่ 2 มาเริ่มทำสังขยาชาไทยกันค่ะ
  1. น้ำชาที่ชงในขั้นตอนที่ 1
  2. ไข่แดง 3 ฟอง
  3. หัวกะทิ 65 กรัม (ถ้าไม่ชอบให้มีกลิ่นกะทิก็เปลี่ยนเป็นนมแทนได้ค่ะ จะเป็นนมข้นจืด นมสด ก็ได้หมดจ้า)
  4. น้ำตาลทราย 65 กรัม
  5. นมสด 250 กรัม
  6. แป้งข้าวโพด 20 กรัม
วิธีทำสังขยาชาไทย
  1. นำนมสดกับแป้งข้าวโพดมาผสมกัน คนให้แป้งละลายให้หมดค่ะ
  2. นำชาที่ชงได้ ใส่น้ำตาล กะทิ ไข่แดง คนให้เข้ากัน และจากนั้นก็เทนมที่ละลายแป้งข้าวโพดเอาไว้
  3. เปิดเตาใช้ไฟปานกลางค่อนไปทางอ่อน คนส่วนผสมไปเรื่อยๆ ติ๊กลืมจับเวลาจำไม่ได้ว่าคนไปกี่นาที ขั้นตอนนี้เราก็คนๆไปจนกว่าส่วนผสมจะข้นเป็นรอยตะกร้อค่ะ
  4. เมื่อสังขยาเริ่มข้นเห็นเป็นรอยตะกร้อ เราก็ลดไฟลงเป็นไฟอ่อนค่ะ ไม่งั้นมันจะเดือดปุดๆ กระเด็นกระจายค่ะ ลดไฟลงและคนต่ออีกสักนิดให้ข้นขึ้นเห็นเป็นรอยอย่างชัดเจน ก็ปิดเตาได้เลย
  5. พักทิ้งไว้ให้คลายร้อน แล้วเสิร์ฟค่ะ ทานคู่กับขนมปังเป็นอะไรที่เข้ากันดีจ้า


ติดตามเรื่องราวในห้องครัว Ms.andMrs.Brown

Preserved Pineapple

สับปะรดกวน          ด้วยที่ติ๊กอยากจะทำพายสับปะรด ก็เลยจะทำสับปะรดกวนเองเสียหน่อย เพราะไม่ได้ทำยาก แต่จะเสียเวลามากกว่า ติ๊กใช้เวลาพอคว...